สำหรับหนังหรือซีรีส์ถ้าไม่ดีจริงการสร้างภาคต่อหรือซีซันต่อๆมาก็คงไม่มี แต่ถ้ามีเรื่องไหนที่ยืนระยะมาได้จนมีภาคต่อมาอย่างยาวนานนั่นคืองานนั้นต้องมีดีมีฐานคนดูที่มากพอ แต่สิ่งที่ตามมาและเป็นราคาที่ต้องจ่ายคือมันจะไปถึงจุดตายที่การหมดมุขเรื่องราวเริ่มวนอยู่ที่เดิม เพราะการสร้างภาคต่อหรือซีซันต่อนั้นไม่ว่าจะเล่าเรื่องอย่างไรก็ยังต้องคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์แล้วสิ่งที่ตามมาคือเรื่องจะไม่พัฒนาไปมากกว่าที่เคยทำให้บางเรื่องวนอยู่กับที่จนสุดท้ายคนดูก็เริ่มหน่าย ซึ่งสำหรับงานซีรีส์ที่เรียกได้ว่ากลายเป็นตำนานอย่าง Voice ที่ออกเดินทางจากจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2017 ที่กลายเป็นของขึ้นหิ้งของวงการที่ใครก็ต้องดู เมื่อมาครบทั้งความหลอน จิตตก และประเด็นทางสังคม ประกอบกับการแสดงในระดับสวมวิญญาณของอีฮานากับจางฮยอกรวมถึงคนอื่นๆกระทั่งตัวร้ายที่จิตสุดๆมันจึงทำให้งานออกมาลงตัวทุกมิติ
รีวิว ล่าเสียงมรณะซีซั่น4
จนสืบทราบมาว่าเซอร์คัสแมนมีถิ่นที่อยู่ที่เกาะบีโมทีมโกลเด้นไทม์จึงต้องไปปฏิบัติภารกิจที่นั่น แต่แล้วเบาะแสกลับชี้มาที่คังควอนจูเมื่อรูปถ่ายผู้ต้องสงสัยมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับคังควอนจูดั่งฝาแฝดแถมยังมีความสามารถทางประสาทหูเช่นเดียวกัน คดีนี้จึงสร้างความงุนงงให้กับทั้งเธอเองและสายสืบโจแต่ระหว่างนั้นทีมโกลเด้นไทม์ก็ได้คลี่คลายคดีที่เกิดขึ้นบนเกาะบีโมไปพร้อมๆกับการสืบหาเซอร์คัสแมน แล้วก็พบว่าแท้จริงแล้วเซอร์คัสแมนใช้วิธีหาเหยื่อผ่านเกมเกี่ยวกับการแก้แค้นเซอร์คัส ปิโอเร่ต์ที่พยายามหาเหยื่อที่เป็นเด็กขี้แพ้ เก็บกด และมีปัญหากับครอบครัวเพื่อสังหารครอบครัวและตัวเด็กไปพร้อมๆกัน แต่เรื่องก็ไม่ง่ายเมื่อการสืบลึกเข้าไปพบความเกี่ยวพันระหว่างคดีในอดีตที่มีผลต่อชีวิตของสายสืบโจ
ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ที่คราวนี้เห็นชัดมากว่าไม่เรียบเนียสิ่งหนึ่งที่ต้องชื่นชมคือการเล่าเรื่องสานต่อจากจุดจบซีซันที่แล้วที่ลงตัว และเห็นเป็นความฉลาดในการเล่าเรื่องในซีซันสองสามที่เป็นชิ้นเดียวกันแต่ถูกแบ่ง จึงกลายเป็นว่านี่คือการเดินทางเพียงก้าวที่สามเท่านั้นของเรื่องราวของคังควอนจู และการเล่าเรื่องครั้งนี้คือการสานต่อเรื่องราวได้อย่างน่าทึ่ง เยี่ยมมากในการที่จะไม่ไปอ้างอิงจากซีซันแรกที่มาไกลแล้ว และคนดูก็อาจไม่คิดไกลขนาดนั้นแต่ยังเก็บชิ้นส่วนมาใช้ได้อย่างดี เพราะคนดูเดาไม่ออกว่าจะเล่าเรื่องแบบไหนเมื่อจุดสิ้นสุดในซีซันที่แล้วออกมาหน้านั้น แต่เมื่อคนเขียนบทยังมีไอเดียมีสารตั้งต้นดีก็เล่าต่อได้อย่างเนียนๆ เพียงแต่เดาว่าการถ่ายทำในช่วงเวลาที่ต้องระมัดระวังในภาวะโรคระบาดยังไม่คลี่คลายเต็มที่ในตอนนั้น ได้ส่งผลให้มองเห็นความไม่เนี้ยบในตัวงานต่างจากที่เคยเห็นมาอย่างชัดเจน
ซึ่งต้องแยกให้ออกคือในความเป็น Voice ที่เล่าเรื่องของทีมโกลเดนไทม์ที่ต้องคลี่คลายคดีแข่งกับเวลานั้นคดีย่อยๆที่ถูกเล่ายังมีริ้วรอยการหาทางลงง่ายๆ แม้จะเร้าใจแต่บางครั้งก็เล่าไปข้างหน้าแบบลืมเรื่องหลักไปเป็นเวลานาน ทำให้เรื่องของตัวร้ายหลักที่เนี้ยบในการปิดซ่อนอย่างเหนือความคาดหมายยากต่อการคาดเดาและมีเรื่องซ้อนเรื่องที่แข็งแรงดีแล้วแต่บางช่วงกลับถูกหลงลืมไปเพราะเรื่องสองส่วนเชื่อมกันไม่ติด อีกส่วนหนึ่งคือเรื่องของน้ำหนักของเหตุการณ์เหตุและผลของการทำหรือไม่ทำดูเป็นแผลตั้งแต่ต้นจนจบ การปล่อยทิ้งตัวละครบางตัวไปจนเห็นว่าบทหรือโครงเรื่องก็แน่น แต่ข้อจำกัดทางด้านเวลาในภาวะโรคระบาดอย่างที่ว่าทำให้การลงรายละเอียดไม่สมบูรณ์ แต่กระนั้นสิ่งที่เป็นคือความเร้าใจและพลังยังแรงสูงในการเดินเรื่องเช่นเดิม เพราะไม่ว่ายังไงความเป็น Voice ก็คือการเล่นกับเวลาที่ทำให้คนดูตื่นเต้นเร้าใจ
แต่ก็ยังมีบ้างที่มีความนวยนาดให้เห็นแต่ก็ไม่ถึงกับน่าเบื่อแค่อาจยังไม่บีบหัวใจจนหยุดดูไม่ได้เหมือนสามซีซันที่ผ่านมาที่ต้องยอมรับว่าคนดูหลายคนดูกันแบบเอาเป็นเอาตาย แต่พอมาซีซันนี้กลับดูได้สบายๆหยุดดูแล้วมาดูใหม่ก็ไม่ได้สร้างความหงุดหงิด ทั้งนี้เพราะมีสิ่งที่หายไปเลยที่กลายมาเป็นความต่างนั่นคืออารมณ์หลอน ความรู้สึกเสียวสันหลังกับบรรยากาศ ความโหดและความจิตของฆาตกร และความกล้าทำร้ายจิตใจคนดูในการกำจัดตัวละครหลักที่ทำให้เจ็บปวด แต่ซีซันนี้ไม่ได้มีครบอย่างที่เป็นกลายเป็นงานสืบสวนที่ดูสนุก ยังคงมีความเป็น Voice และยังคงฉลาดในการสร้างทางไปต่อที่คงจะยังไม่ถึงทางตันง่ายๆ แต่คราวนี้มันไม่เนี้ยบอย่างที่เคยเท่านั้น
ตัวร้ายที่น่าประทับใจจนกลายเป็นสัญลักษณ์ในทุกเรื่องที่เล่า
สิ่งที่ Voice เป็นและเยี่ยมมาตลอดคือการมีตัวร้ายที่น่าประทับใจ ซึ่งการเลือกเล่าเรื่องในแต่ละเรื่องนั้นพื้นฐานตัวละครมักจะแข็งแรงและมีแบ็คที่แข็งไว้ให้ต่อกรยาก ที่เหมือนกระชากหน้ากากสังคม VVIP ที่คงมีในสังคมบ้านเขา เมื่อความรวยจน ชื่อเสียง หรือคนที่เป็นที่นับหน้าถือตาไม่ได้การันตีความเป็นคนดี กลับกันสิ่งประดามีเหล่านั้นกลับกลายเป็นแปรงทาสีที่สามารถกลบเกลื่อนสิ่งที่ทำไว้ ซึ่งในซีซันนี้ก็เล่าได้ถึงใจด้วยการหยิบเอาเรื่องของความศรัทธาหรือความงมงายที่ไม่ว่าสังคมไหนก็ยังต้องมี และเมื่อมีความงมงายสิ่งที่ตามมาคือคนที่เห็นช่องทางหาผลประโยชน์จากความสิ้นหวังของมนุษย์ จนเมื่อนานเข้าก็กลายเป็นรากฐานในการปกปิดความต่ำช้าของตนเองเพราะมีอำนาจเงินและอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจและมันก็เป็นเรื่องที่ธรรมดามากที่ต้องฆ่าคนปิดปาก
แล้วมันส่งผลให้เกิดตัวร้ายที่เป็นโรคหลายบุคลิกที่บทโยงให้เห็นคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้ว่าเกิดจากการถูกทำร้ายจิตใจ จนต้องสร้างตัวตนขึ้นมาปิดบังความรู้สึกตัวเองและนั่นก็ทำให้อดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงหนังอย่าง Split (2019) ที่เล่าถึงอาชญากรที่เป็นโรคหลายบุคลิกได้อย่างถึงใจจึงมอบตัวร้ายที่มีสีสันแปลกตาและมีน้ำหนักรองรับแม้ว่าบางครั้งจะดูเกินเลยไปก็ยังพอรับได้ และแน่นอนความเป็น Voice ที่เห็นอีกอย่างคือการไม่รีรอที่จะเปิดหน้าตัวร้ายเมื่อถึงเวลาแล้วค่อยมาเป็นเกมแมวจับหนูซึ่งมันส่งผลโดยตรงกับอารมณ์ แล้วอาจเป็นเพราะมาตรฐานการแสดงของนักแสดงเกาหลีที่นักแสดงสามารถถ่ายทอดบทบาทได้ดีและความกล้าที่จะเล่นในบทที่ต่างไป เมื่อเรื่องเปิดหน้าตัวร้ายออกมาแม้ว่าเห็นก็รู้ทันทีแต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหนือความคาดหมายนิดๆ
เพราะนักแสดงที่มารับบทตัวร้ายคือคนที่ไม่คิดว่าจะเป็นมาก่อน แล้วการแสดงก็มีอะไรให้เล่นมากมายเพราะต้องเล่นหลายบุคลิก แต่นักแสดงที่คุ้นหน้าอย่างอีคยูฮยองก็ร้ายกาจพอที่จะรับผิดชอบบทตัวร้ายที่อาจจะไม่โหดเท่ารุ่นพี่ที่ผ่านมาเพราะบทลดความโหดลง (หรือไม่) แต่ดีกรีความจิตนั้นเกินเบอร์แถมยังจัดการยาก ซึ่งมิติที่มีอีกทางที่มองเห็นและดูจงใจใส่มาคือเรื่องของการเลี้ยงดูที่ทำให้เด็กๆที่เป็นผ้าขาวสามารถเปลี่ยนมิติข้างในไปได้ตลอดกาล ซึ่งบางทีก็มองเห็นตรงนั้นและเข้าใจว่าบทพยายามบอกอะไร แต่กระนั้นก็ยังไปไม่ถึงจุดที่ความเห็นใจที่ในอดีตการถูกทำร้ายจิตใจจนทำให้คนที่น่าจะดีกลายมาเป็นปีศาจได้ เพราะรายละเอียดยังไม่เนี้ยบอย่างที่ว่า
ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงคอซีรีส์เกาหลีที่เคยชินกับการแสดงที่ไร้ที่ติอยู่เสมอมาด้วยแล้ว แต่ถ้าแยกเป็นรายบุคคลอีฮานานั้นคงไม่ต้องทำอะไรมากเมื่อเห็นหน้าก็แทบจะนึกถึงภาพ ผอ.คังควอนจู อยู่แล้วและคงจะกลายเป็นตราประทับไปอีกนาน ซึ่งก็คงไม่เสียหายอะไรเพราะเธอคงจะเล่นบทนี้ไปอีกอย่างน้อยสักซีซันด้วยตอนจบที่ปูไว้ขนาดนั้น และคงจะมาประมาณนี้ที่แสดงแบบน่าสงสารอยู่ในทีสายตามีอะไรร้อยแปดมีความเศร้าอยู่ข้างใน แถมยังต้องงอหลังห่อไหล่ตลอดเมื่อต้องเข้าฉากกับนักแสดงชายเพราะความสูงของเธอที่ทำให้ต้องใช้มุมกล้องบ่อยๆ และสำหรับซีซันนี้เธอมีมิติให้เล่นที่เห็นความต่างออกไปบ้างและก็ทำได้อย่างน่าดูชม
ข้อมูลเกี่ยกับซีรีย์ ล่าเสียงมรณะซีซั่น4 VOICE
- ประเภท แอคชั่น อาชญากรรม ความลึกลับ
- ความยาว 1 ชม 14 ตอน.
- ปีที่ฉาย 2560
- คะแนน 7 . 6 / 1 0
- ดูได้ที่ iQIYI / Viu / NETFLIX