The Quake – มหาวิบัติวันถล่มโลก
หนัง The Quake หรือชื่อไทยว่า มหาวิบัติวันถล่มโลก ในปี 1904 ที่กรุงออสโล เมืองหลวงของประเทศนอร์เวย์ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.4 ริกเตอร์ แต่แล้วก็ไม่มีใครคาดคิดว่าอีกหลายร้อยกว่าปีผ่านไปจะเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดและรุนแรงที่สุดตามมาอีกครั้ง และนี่คือเรื่องราวของนักธรณีวิทยา คริสเตียน (คริสโตฟเฟอร์ โยเนอร์) ผู้ซึ่งเพิ่งรอดพ้นจากสึนามิ และต้องเผชิญหน้ากับหายนะแผ่นดินไหวที่เขาไม่คาดคิด เขาต้องพยายามพาครอบครัวของเขาออกจากเมืองแห่งนี้ก่อนที่จะทุกอย่างจะพังทลาย
The Quake หนังภาคต่อจากเรื่อง The Wave หนังสัญชาตินอร์เวย์ที่ต้องบอกเลยว่าไม่ธรรมดา ด้วยทุนเพียงไม่เท่าไหร่ แต่ได้ภาพระดับ Hollywood ในภาคแรกนั้นนับว่าทำให้ทั้งโลกต่างจับตามองผลงานจากประเทศนอร์เวย์เลยทีเดียว และสร้างชื่อให้กับผู้กำกับอย่าง Roar Uthaug จนได้ไปกำกับหนัง Holllywood เลยทีเดียว ก่อนที่จะพังพินาศแบบสุดๆ ใน Tomb Raider เวอร์ชั่นรีเมค อีกหลายปีต่อมา ก็ได้มีบท The Quake ขึ้นมา แต่ได้เปลี่ยนมือผู้กำกับเป็น John Andreas Andersen ที่เหมือนจะดูดีกว่าภาคแรกนิดหน่อย (มั้ง)
The Quake คือเหตุการณ์เล่าต่อจากภาคแรกหลายปีต่อมา ซึ่งในจุดนี้ถ้าใครดูภาคแรกมาแล้วก็จะช่วยให้เข้าใจภาคสองตอนต้นๆ ได้นิดหน่อย ในความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องดูภาคแรกด้วยซ้ำ เพราะในภาคนี้ได้บอกกล่าวเล่าถึงให้เราเข้าใจได้นิดหน่อย โดยในภาคนี้เหมือนจะซวยอีกครั้งเมื่อครอบครัวพระเอกต้องมาเจอกับเหตุการณ์มหันตภัยร้ายแรงอีกครั้ง แต่ในคราวนี้ไม่ใช่สึนามิ มันคือแผ่นดินไหวถ้าใครคาดหวังจะได้เห็นความวิบัติแบบหนังมหันตภัยต่างๆ แบบ The Day After Tomorrow, 2012 หรือ San Andreas
คงจะต้องผิดหวังกันสักหน่อย เพราะภาพความรุนแรงหรือฉากภัยพิบัติในเรื่องนี้นั้นมีแค่น้อยนิด 1-2 ฉาก เหมือนที่เห็นในตัวอย่างเท่านั้นจริงๆ เกินครึ่งเรื่องแรกหนังจะอารัมภบทถึงชีวิต ความดราม่า ของตัวพระเอกหลังจากเกิดเหตุการณ์สึนามิในภาคแรก ความวิตกกังวล ปัญหาครอบครัว ซึ่งเอาจริงๆ มันน่าเบื่อกว่าภาคแรกเยอะมากในพาร์ทนี้ บวกกับหลากหลายเหตุการณ์ที่เข้าใจยากกว่าภาคแรก แถมยังมีตัวละครใหม่ๆ โผล่มาแบบไม่จำเป็นต้องมีก็ได้มั้ง
ถ้าใครทนความน่าเบื่อของเกินครึ่งแรกมาได้ ก็จะได้พบกับฉากภัยพิบัติเสียที (เย้~) แต่ก็อย่างที่บอกไป มันมาแปบเดียวจริงๆ นะ แต่ก็ดูน่ากลัวอลังกาลใช่เล่น ยิ่งใหญ่วินาศสันตโรกันทั้งเมือง CG นี่จัดเต็มอลังกาลงานสร้างสุดๆ ในใจตอนนั้นแอบดีใจ คิดแล้วว่ามันต้องเป็นสเกลที่กว้างกว่าภาคแรกแน่ๆ แต่สุดท้ายแล้วมันกลับเล่าเรื่องราวการเอาชีวิตรอดของพระเอกและครอบครัวในตึกๆ เดียวเท่านั้น ถึงแม้มันจะเล่าในตึกๆ เดียว ตลอดครึ่งหลังมันก็มีฉากให้เราลุ้นอย่างไม่หยุดหย่อน
ในส่วนนี้คิดว่าทำได้ดีกว่าภาคแรกนะ ลุ้นกว่า ตื่นเต้นกว่า (แต่โดยรวมภาคแรกดูดีกว่านะ)ในขณะที่ครึ่งหลังกำลังตื่นเต้น เหมือนกำลังทำได้ดี หนังกลับตัดจบแบบ “อ้าว! เห้ย จบละหรอ แค่นี้หรอ?” แล้วตัวละครอื่นๆ ก็ไม่พูดถึงตัดจบซะดื้อๆ อีกทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันยังไม่ชัดเจน อะไรเป็นอะไรก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ หนังก็ปล่อยจบดื้อๆ ซะอย่างนั้นโดยรวมแล้วหนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกแบบ