เรื่อง Black Panther: Wakanda Forever
ประเภท Action/Adventure/Drama
ผู้กำกับ Ryan Coogler
ความยาว 2h 41m
ปีที่ฉาย 2022
IMDB 7.3/10
ดูได้ที่ ▶ Disney+
รีวิวหนัง แบล็ค แพนเธอร์ วาคานด้าจงเจริญ Black Panther: Wakanda Forever
“Black Panther: Wakanda Forever วาคานด้าจงเจริญ” กับการร้อยเรียงเรื่องราวสดุดีถึงนักแสดงหนุ่มผู้จากไป “แชดวิก โบสแมน” เป็นการคาระตำนานที่สร้างความทรงจำเอาไว้ให้กับแฟน ๆ แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาไม่นานนัก แต่ทุกเนื้อหาและทุกข้อความในหนังเรื่องนี้ถ่ายทอดออกมานั้น ค่อนข้างเข้มข้นในแง่การระลึกถึง…
Black Panther: Wakanda Forever วาคานด้าจงเจริญ เป็นเรื่องราวของ ราชินีรามอนด้า, ชูรี, เอ็มบาคู, โอโคเย และ โดรา มิลาเจ จะต้องร่วมต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศของพวกเขาจากการแทรกแซงทางอำนาจหลังการสวรรคตของกษัตริย์ทีชัลล่าในระหว่างที่ชาววาคานด้าพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะก้าวต่อไป เหล่าฮีโร่จึงต้องร่วมมือกัน ด้วยความช่วยเหลือของวอร์ด็อกนาเคีย และ เอเวอเร็ตต์ รอสส์ ในการสร้างเส้นทางใหม่ให้กับวานคานด้า
และแน่นอนว่านี่คือฉากการสดุดีถึง แบล็ค แพนเตอร์ คนเก่า และระลึกถึงนักแสดงหนุ่มผู้จากไป ที่มีความยาวกว่า 160 นาที ที่ถูกว่าตอบโจทย์การรำลึกได้ค่อนข้างน่าพอใจ ชวนแฟน ๆ ได้คะนึงหาและคิดถึงภาพวันวานที่ได้กลายเป็นความทรงจำตลอดกาลของจักรวาลมาร์เวลไปเรียบร้อยแล้ว นี่ก็ถือว่าไม่ได้พูดเกินไปสักหน่อยกับสิ่งที่บรรดาผู้สร้างหนังเรื่องนี้ต่างยกให้เป็น Tribute Feature ถึงนักแสดงผู้ล่วงลับคนที่จากไปอย่างกะทันหัน “ไรอัน คูเกลอร์” ยังคงกลับมารับหน้าที่ดูแลงานสร้างและกำกับหนังเรื่องภาคนี้อีกครั้ง แน่นอนว่าเขายังคงควบคุมโทนและรายละเอียดต่าง ๆ เอาไว้ได้ค่อนข้างน่าพอใจ ใส่ใจในการถ่ายทอดขนบธรรมเนียมประเพณีชาวพื้นเมือง สร้างฉากพิธีต่าง ๆ ออกมาได้ลึกซึ่งถึงแก่น พร้อมทั้งยังส่งสารบางอย่างถึงผู้ชมเอาไว้ได้อย่างเป็นนัย รวมทั้งเป็นการขยายกรอบอาณาเขตให้กับโลกของวากานด้าได้เติบโตยิ่งขึ้น เป็นการผสมผสานระหว่างโลกใหม่กับความสูญเสียคละเคล้ากันไป

แต่ก็น่าเสียดายที่ในท้ายที่สุด Black Panther: Wakanda Forever ก็ทำออกมาได้เพียงรสชาติเก่าที่คุ้นเคยเดิม ๆ แบบฉบับหนังมาร์เวล เป็นความกลมกล่อมที่ยังวนเวียนอยู่ในอ่างเซฟโซน ที่หนังเรื่องยังไม่สามารถสร้างมุมมองและความสดใหม่ให้กับตัวเองได้ อาจจะเพราะว่าหนังต้องแบกรักการขับเคลื่อนประเด็นหลัก ๆ ถึง 2 องก์ใหญ่เอาไว้ในคราวเดียวกัน องก์หนึ่งก็สำคัญ แต่อีกองก์ไม่สามารถทิ้งไปได้ ทำให้เมื่อมาหล่อรวมกันแล้วนั้น ทุกอย่างยังค่อนข้างไร้ความจัดจ้านไปสักหน่อย

Black Panther: Wakanda Forever ภาคนี้ได้กลายมาเป็นหนังที่ขับเคลื่อนตัวตัวละครหญิงที่โดดเด่นเป็นแน่แท้ แน่นอนว่าหนังมีความเพื่อนหญิงพลังหญิงค่อนข้างเพิ่มขึ้นจากภาคก่อนแบบคนละขั้วไปเลย นักแสดงชายในภาคนี้กลายเป็นมาเป็นองค์ประกอบเสริมไปในทันที แต่การรวมพลังขับเคลื่อนในหนังเรื่องนี้ของพวกเธอนั้นก็ค่อนข้างสัมฤทธิ์ผล และอย่างน้อย ๆ ก็มีเหตุมีผลที่ค่อนข้างใช้ได้ในการเลือกทิศทางนี้ในการดำเนินเรื่อง และประทับใจที่เพิ่ม sense of humor เข้ามาในภาคนี้เยอะขึ้นหน่อย
พลังหญิงที่มี “แองเจลา บาสเซตต์”, “ลูพีตา ญองอ” และ “ดาไน กูริรา” ที่ถือว่าพวกเธอเป็น 3 ทหารสาวผู้โดดเด่นในหนังเรื่องนี้ และเป็นตัวละครสมทบที่ช่วยขับเคลื่อนและบังคับทิศทางของหนังเอาไว้ได้ค่อนข้างดี เป็นส่วนเสริมที่แข็งแรงและเป็นแขนขาที่พยุงหนังทั้งเรื่องไว้ได้อย่างพอใจ อีกทั้งการเปิดตัวของ “ดอมีนีก ทอร์น” ในฐานะฮีโร่ตัวใหม่ในเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่การเปิดตัวที่โดดเด่นอะไร แต่ก็ยังเป็นการแนะนำที่ไม่หวือหวาและเรียกความน่าสนใจได้ดีระดับหนึ่ง
แต่ในขณะเดียวกันนั้น Black Panther: Wakanda Forever ก็ยังเต็มไปด้วยปัญหาและจุดบกพร่อง ไม่ใช่แค่เพียงบทหนังและโครงสร้างที่ยังไม่ค่อยหนักแน่นพอ จังหวะต่าง ๆ ในการเล่าเรื่อง รวมทั้งซีนเด่น ๆ ในหนังเรื่องนี้แทบหาไม่เจอ เสน่ห์หลายสิ่งได้ขาดหายไปเมื่อเปรียบเทียบกับภาคก่อน โดยเฉพาะฉากเด็ดฉากต่อสู้ที่ควรมีสักหนึ่งในความโดดเด่นของหนังบ้าง แต่ภาคนี้ค่อนข้างทำได้ล้มเหลว ฉากไคล์แม็กซ์จริง ๆ ไม่มีอะไรให้น่าจดจำเลย มันเป็นสูตรสำเร็จแบบแห้งแล้ง ตื้นเขินไปเสียทุกมิติ ที่หวังจะเพิ่งใบบุญการแสดงของนักแสดงอย่างเดียวที่ก็ยังไม่ทรงพลังเพียงพอ
เอาเป็นว่าโดยภาพรวมแล้วนั้น กลับมองว่า Black Panther: Wakanda Forever เป็นเพียงแค่มาฉายคั่นเวลา จากสถานการณ์สุดวิสัยที่เกิดขึ้นกับโครงการหนังเรื่องนี้ ทำให้ต้องปรับแผนเดิมของหนังออกไป แล้วมาใส่เนื้อหาที่เป็นการรำลึกถึงนักแสดงที่จากไปและเซอร์วิสแฟน ๆ ด้วยการสั่งลาคาแรกเตอร์อันโปรดปรานของใครหลายคน เพราะหลายองค์ประกอบในหนังนั้นยังไม่มีอะไรจะหนักแน่นไปได้เทียบเท่ากับการสดุดีที่ใส่เข้ามา แต่อย่างน้อย ๆ หนังก็พยายามจัดอะไรบางอย่างให้กลับเข้าที่เข้าทางได้ยิ่งขึ้น