The Suicide Squad | เดอะ ซุยไซด์ สควอด (2021)

The Suicide Squad เดอะ ซุยไซด์ สควอด (2021) สนุกไหม ต้องเรียกว่าดูภาคนี้แล้วลืมของเก่าไปได้เลย ภาคนี้สนุกกว่ามาก ให้นึกถึงความยียวนกวนประสาทใน Guardian Of The Galaxy แต่ในเรื่องนี้ James Gunn สามารถปล่อยพลังได้เต็มที่ เพราะหนังได้รับเรท R จัดเต็มได้ทั้งคำหยาบคาย ความรุนแรง ไม่บันยะบันยัง ฉากแอคชั่นในเรื่องทำดีทุกฉาก การปะทะกันของ 2 ตัวละคร Bloodsport ของ Idris Elba และ Peacemaker ของ John Cena เรียกว่าเป็นมวยถูกคู่เลยทีเดียว ตัวละครจอมขโมยซีนอย่าง Sharkman เจ้าฉลามไซซ์ตุ้ยนุ้ยน่าจะทำให้หลายๆ คนตกหลุมรักได้ไม่ยาก อีกส่วนที่ชอบคือการจัดสไตล์และคอสตูมสีสันสดใสสไตล์ Comic สร้างเอกลักษณ์ให้หนังมากๆ และที่ขาดไม่ได้คือการชอบใช้เพลงในหนังของ James Gunn ก็ยังอยู่ โดยในอ่านต่อ

Freaky สลับร่างฆ่า ล่าป่วนเมือง

รีวิว #Freaky สลับร่างฆ่า ล่าป่วนเมือง หากยังจำกันได้เมื่อไม่นานมานี้มีหนังสยองขวัญแนววนลูปที่นางเอกต้องติดอยู่ในวันเกิดตัวเองและถูกฆ่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าหนังเรื่องนั้นมีชื่อ Happy Death Day ออกฉายปี 2017 และประสบความสำเร็จจนมีภาคต่อในปีที่แล้วกับ Happy Death Day 2U และแจ้งเกิดให้ผู้กำกับหนังสยองขวัญอย่างคริสโตเฟอร์ แลนดอน ที่ได้ร่วมงานกับทางบลัมเฮาส์ โปรดักชัน ตอกย้ำความสำเร็จให้สตูดิโอหนังสยองขวัญยุคใหม่ที่จับอะไรก็มือขึ้นไปหมด (ด้านรายได้หนังอาจยังมีแป้กอยู่บ้าง) และปีนี้แลนดอนก็กลับมาอีกครั้งกับหนังสแลชเชอร์สุดปั่นอย่าง Freaky เรื่องราวสุดโกลาหลคราวนี้ก็เริ่มขึ้นเมื่อฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดอย่าง บุชเชอร์ (วินซ์ วอห์น) ที่ออกอาละวาดสังหารวัยรุ่นในเมืองบลิสฟิลด์ เกิดไปขโมยกริชของชนเผ่าแอซเท็กหลังสังหารวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งอย่างเหี้ยมโหดและเหยื่อที่มันดันเอากริซไปแทงดันเป็น มิลลี (แคธรีน นิวตัน) สาวเฉิ่มประจำบลิสฟิลด์ไฮ แต่ด้วยเวทมนตร์ลึกลับของกริซก็ทำให้ทั้งคู่มีอันต้องสลับร่างกัน ความวายป่วงก็เกิดขึ้นเมื่อบุชเชอร์ในร่างมิลลีไล่ฆ่าเหล่านักเรียน ส่วนมิลลีในร่างบุชเชอร์ก็ต้องหาทางหยุดฆาตกรในร่างสาวแซ่บของเธอภายใน 24 ชั่วโมงก่อนทั้งคู่จะต้องสลับร่างกันตลอดกาล ส่วนใครกลัวว่าพอไปทางตลกแล้วหนังแผ่วด้านสยองหรือเปล่าก็ต้องบอกเลยว่าไม่ต้องกลัว…เพราะหนังจัดเต็มความโหดสายเชือดเลือดกระเด็นทั้งคนถูกแช่แข็งถูกเลื่อยผ่าครึ่งตัวและยังไม่นับกับลีลาแล่เนื้อเถือหนังแบบแทบจะเรียกทั้งปู่ไมเคิล ไมเยอร์ แห่ง Halloween คุณตาเจสัน วอร์ฮีย์ Friday the 13th หรือคุณน้าฆาตกรโกสต์เฟซแห่ง Scream มาประทับทรงกันครบองค์นรกแตกเลยทีเดียวอ่านต่อ

รีวิวหนัง "Jolt สวยแรงสูง" ⚡

Jolt สวยแรงสูง มาถึงอีกหนึ่งโปรแกรมหนังแอคชั่นที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจไม่เบา มาลงคิวฉายส่งท้ายปีนี้ในบ้านเรา ก็คือ “Jolt” (สวยแรงสูง) กลิ่นอายความเป็นหนังนักฆ่าสาวสุดระห่ำลอยโชยมาแต่ไกลทีเดียว แต่เมื่อได้ลองมาสัมผัสและพิสูจน์ด้วยตาตัวเองแล้ว ก็พบว่านี่คือหนังที่จังหวะโบ๊ะบ๊ะ ดูเอามันส์ ด้วยไอเดียที่น่าสนใจ แม้จะยังไม่ได้กลมกล่อมรสชาติอร่อยขนาดนั้นก็ตาม Jolt สวยแรงสูง เป็นเรื่องราวของ ลินดี้ หญิงสาวที่เกิดและเติบโตมาด้วยความบกพร่องทางอารมณ์ที่ติดตัวมาตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เธอกลายเป็นสาวอารมณ์ร้อนและพฤติกรรมรุนแรงแบบควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำให้ต้องใช้เสื้อกั๊กประจุไฟฟ้าช่วยยับยั้งอาการนี้ของเธอให้ทุเลาลง เพื่อจะได้ไม่ต้องมีใครเจ็บป่วยล้มตายเพราะเธอ แต่กระทั้งเมื่อเธอพบว่าคนรักของตัวเองถูกฆ่าตายอย่างเป็นปริศนา เธอจึงต้องออกโรงสืบเสาะหาต้นหาและใช้พลังความโกรธเดือดดาลของเธอมาเป็นเครื่องมือล้างแค้น เราได้เห็น “เคต แบคคินเซล” กลับมารับบทสวยสังหารอะไรแบบนี้อีกครั้ง แม้ว่าจะไม่ใช่บทที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจอะไรเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าประทังความคิดถึงคาแรกเตอร์แบบนี้ของเธอได้อยู่เหมือนกัน นับตั้งแต่เรื่อง Underworld ที่สวยเท่ชะมัด แต่มาในเรื่องนี้ตามที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า เป็นหนังที่สอดแทรกจังหวะโบ๊ะบ๊ะที่อย่าถามหาสาระอะไรมาก อยากจะใส่อะไรก็ใส่ อยากจะโยนอะไรมาก็โยน กลายเป็นหนังประเภทผัดตามใจ ไม่ต้องแคร์แกนเรื่องอันน้อยนิดอะไรมาก Jolt สวยแรงสูง น่าจะเป็นหนังที่ดูได้เพลินๆ ดูฆ่าเวลาได้ เพราะในท้ายที่สุดเมื่อหนังจบลงแล้ว ก็แทบจะไม่ได้มีอะไรให้น่าจดจำสักเท่าไหร่ แบบว่าดูผ่านแล้วก็ผ่านเลย เนื่องจากโครงเรื่องและบทหนังค่อนข้างอ่อนเป็นอย่างมาก ประเด็นและจุดหักมุมต่างๆ ซ้ำซากและไม่ได้รู้สึกเซอร์ไพรส์อะไร แนวทางการพัฒนาตัวละครและคาแรกเตอร์ต่างๆ ก็ยังไม่ดีพอ แม้แต่ตัวนางเอกของเรื่องก็ยังถ่ายทอดออกมาได้แบบแปลกๆ ชอบกล ถึงแม้ว่าบทหนังจะค่อนข้างเห่ยและเชยอยู่ไม่น้อย แต่ก็ต้องขอบคุณพลังจากทีมนักแสดงในหนังเรื่องนี้ ที่ต้องร้องโอ้โห้…ออกมาเบาๆอ่านต่อ

รีวิว "The Adam Project" (ย้อนเวลาหาอดัม) 

เป็นหนังที่รู้สึกได้ว่าไม่ต้องคาดหวังอะไรก็ได้ เพราะมันน่าจะตอบโจทย์ผู้ชมได้ดี เพราะนี่คือการกลับมาจับมือกันอีกครั้งของ “ไรอัน เรย์โนลด์ส” กับผู้กำกับ “ชอว์น เลวี่” ที่พวกเขาเพิ่งจะผนึกกำลังความปังมาหมาดๆ ใน “Free Guy” และเขาทั้งคู่ก็มาปลุกปั้นโครงการใหม่อีกครั้งใน “The Adam Project” (ย้อนเวลาหาอดัม) หนังแอคชั่นผจญภัยไซไฟเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลาที่เหนือจินตนาการ แม้ว่าโครงเรื่องจะมาในแนวสูตรสำเร็จที่ไม่ต้องคิดมาก แต่ก็สนุกเพลินได้ดีทั้งเรื่อง โดยเฉพาะแค่ทีมนักแสดงก็เอาอยู่! The Adam Project เป็นเรื่องราวของ อดัม รี้ด เด็กชายวัย 12 ที่เพิ่งจะเผชิญหน้ากับความสูญเสียพ่อที่เพิ่งจากไป แต่ปรากฏว่าเขาได้พบกับชายปริศนาในชุดนักปริศนาโผล่มาอยู่ที่สวนหลังบ้าน เขามีท่าทีคุ้นเคยกับบ้านและตัวเขาเป็นอย่างดี ก่อนจะพบว่าชายคนนั้นก็คือเขาที่เดินทางข้ามเวลามาจากอนาคต และเขาคนนั้นกลับมาเพื่อภารกิจเพื่อยับยั้งปฏิบัติการอดัมที่กำลังจะส่งผลกระทบและเป็นหายนะของมวลมนุษยชาติในภายภาคหน้า ก็อย่างที่บอกว่านี่เป็นอีกครั้งที่เป็นการผนึกกำลังกันระหว่าง ไรอัน เรย์โนลด์ส กับ ชอว์น เลวี่ ผู้ที่มากด้วยพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์หนังที่สอดแทรกความตลกโปกฮาได้อย่างมีอินเนอร์และจังหวะที่ดี และนี่น่าจะเป็นกลับมาร่วมงานของพวกเขาที่น่าจะต่อเนื่องจาก Free Guy และดูเหมือนการทำงานก็ยังคงเข้าขากันได้เป็นอย่างดี แม้ว่าความตื่นตาตื่นใจด้วยเทคนิคพิเศษต่างๆ ในหนังเรื่องนี้จะน้อยกว่าเรื่องก่อนไปสักหน่อย แต่ก็ยังคงความสนุกเอาไว้ได้ หนังได้วางพื้นฐานเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลามาเป็นตัวชูโรง ทำให้มีกลิ่นอายความเป็นหนังคลาสสิกอย่าง “Back to the Future” โชยมาเรื่อยๆ แต่มันก็ถูกพัฒนาการและขัดเกลาบทหนังออกมาให้ดูน่าสนใจอ่านต่อ

The Pirates: The Last Royal Treasure

The Pirates: The Last Royal Treasure ศึกโจรสลัดชิงสมบัติราชวงศ์ หนังเกาหลีสุดบันเทิง ตลก ครบรส บทความรีวิวนี้นั้น ผมเขียนขึ้นมาจากความรู้สึกส่วนตัวของผมล้วนๆ หากรีวิวนี้ไม่ถูกใจใคร หรือขัดใจใคร ผมก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย เพราะคนเรามีรสนิยม และความชอบไม่เหมือนกัน แต่ก่อนที่เราจะมาเริ่มการรีวิว เรามาดูเรื่องย่อของภาพยนตร์เรื่องนี้กันก่อนดีกว่า เรื่องราวเริ่มต้นที่ อูมูชิ (คังฮานึล) หัวหน้ากลุ่มโจรภูเขาที่ถูกเนรเทศออกมาจากดินแดนพร้อมกับลูกน้อง และกำลังลอยเคว้งคว้างรอความตายอยู่กลางมหาสมุทร แต่ดันโชคดีที่ได้ไปเจอกับเรือโจรสลัดลำหนึ่ง ซึ่งมีกัปตันเรือคือสาวสวยนามว่า แฮรัง (ฮันฮโยจู) ซึ่งกลุ่มโจรสลัดได้ช่วยพวกโจรภูเขาไว้ และให้มาอาศัยอยู่ร่วมกันบนเรือ จนสุดท้ายทั้งสองกลุ่ม ก็ได้มารวมกันเป็นกลุ่มเดียว จากนั้นพะวกเขาก็ได้ร่วมกันออกเดินทางไปในทะเล เพื่อออกไปค้นหาสมบัติสุดท้ายของราชวงศ์โครยอที่สูญหายไป หลังจากที่อาณาจักรได้แปรเปลี่ยนแทนที่ด้วยยุคโซซอน กลายเป็นการผจญภัยครั้งใหม่ สุดอันตรายและตื่นเต้น แต่ระหว่างทางในการหาสมบัติ พวกเขาก็จะต้องพบเจอกับอุปสรรคมากมาย ที่ทั้งบันเทิง ฮา และสนุก สุดท้ายแล้วเรื่องราวจะเป็นอย่างไรไปรับชมได้ทาง Netflix พร้อมพากย์ไทย การแสดง ในส่วนของการแสดงของเรื่องนี้นั้นก็อยู่ในเกณฑ์ธรรมดาทั่วไป ไม่ได้ดีเยี่ยมอะไรมากมายอ่านต่อ

รีวิว Rainbow / สายรุ้ง

เมื่อเห็นตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง Rainbow ของ Netflix ก็ทำให้ผู้เขียนเกิดความสนใจที่จะเข้าไปดู เนื่องจากสีสันและองค์ประกอบสุดแปลกพิศดารมันทำให้น่าค้นหายิ่งนัก ภาพยนตร์ Netflix ที่เพิ่งออกใหม่นี้เป็นเรื่องราวสมัยใหม่เกี่ยวกับการเดินทางแบบฉบับ “คัมมิงออฟเอจ (Coming of age)” ของวัยรุ่นสาวคนหนึ่งที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนวนิยายคลาสสิกเรื่อง ‘The Wonderful Wizard of Oz’ หรือ ‘พ่อมดมหัศจรรย์แห่งเมืองออซ’ เป็นนวนิยายอเมริกันสำหรับเด็กที่ตีพิมพ์ขึ้นในปี 1900 ประพันธ์โดย L. Frank Baum ที่ซึ่งต่อมาก็เปลี่ยนชื่อเป็น ‘พ่อมดแห่งออซ (The Wizard of Oz)’ และก็ใช้เป็นชื่อภาพยนตร์ดัดแปลงในปี 1939 อีกด้วย พล็อตเรื่องของ Rainbow จะติดตามตัวละครสาววัยรุ่น Dora ที่มีความพยายามในการตามหาแม่ที่ทิ้งไปตั้งแต่เด็กของเธอ ทำให้สาววัยรุ่นรักอิสระต้องเดินทางไปพร้อมกับกลุ่มเพื่อนสุดแปลกที่เธอเจอบนเส้นทางสุดหฤหรรษ์ ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามหลีกให้พ้นเงื้อมมือของผู้หญิงไฮโซสุดใจร้าย ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ภาษาสเปน กำกับและร่วมเขียนบทโดย Paco León ที่ถือเป็นการรื้อสร้างตำนานหนังสือสำหรับเด็กให้อยู่ในโลกร่วมสมัย ด้วยเรื่องราวที่เดินเป็นเส้นตรงสุดแสนธรรมดา แต่องค์ประกอบทางเทคนิคและเอฟเฟกต์สุดล้ำที่ออกไปในทางเพี้ยนๆอ่านต่อ

Die Hart: The Movie

 “Die Hart: The Movie” หนังบู๊ตลกสายเจ็บตัวและแหกปากแนวถนัดของดาราสุดฮา “เควิน ฮาร์ท” ที่อาจจะบอกได้ว่าเป็นฉบับปรับปรุงจากเดิม เสริมแต่งเพิ่มอรรถรสเข้าไปอย่างเต็มที่ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาจะยังเวิร์กอยู่หรือไม่…ต้องมาพิสูจน์ Die Hart: The Movie ถือว่าเป็นการแตกหน่อออกจากฉบับซีรีส์ ที่จะพาตามติดไปดูชีวิตในเวอร์ชั่นมายาคติของ เควิน ฮาร์ท ในขณะที่เขากำลังพยายามจะเป็นดาราหนังแอคชั่น เขาได้เข้าเรียนที่โรงเรียนการแสดง โดยที่ได้ รอน วิลค็อกซ์ มารับหน้าที่เป็นครูผู้สอน เขาตั้งใจเรียนรู้และหาวิธีที่จะเป็นแอคชั่นสตาร์เบอร์ต้น ๆ ที่วงการบันเทิงต้องการตัวมากที่สุด และนี่คือการนำเอาต้นฉบับเวอร์ชั่นซีรีส์มาหล่อรวมดัดแปลงขึ้นมาใหม่ ออกมาเป็นฉบับหนังยาวเรื่องหนึ่ง ที่พูดจากใจจริงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำแบบนี้ออกมาทำไม เพราะเวอร์ชั่นชื่อเดียวกันที่ฉายออกไปแล้ว 10 ตอน ในช่วงโควิด-19 กำลังระเบิดหนัก ทำให้ตัวซีรีส์ไม่ค่อยจะปังเท่าที่ควร นี่อาจจะเป็นอีกสาเหตุที่พวกเขาตัดสินใจทำแยกอีกฉบับเป็นหนังด้วย Die Hart: The Movie ได้ “อีริค แอปเพล” ผู้กำกับจากซีรีส์ดัง Brooklyn Nine-Nine มารับช่วงต่อ โดยเครดิตบทหนังยังยกให้กับ “ดีเร็ค โคลสตาด”อ่านต่อ

รีวิวหนัง "We Have a Ghost บ้านนี้มีผีป่วน"

“We Have a Ghost บ้านนี้มีผีป่วน” หนังที่มีกลิ่นอายความปั่นป่วนชวนวุ่นของผีประจำบ้าน แม้ว่าในฉบับนี้จะไม่ได้ออกมาน่ารักน่าหยิก แต่พล็อตในทำนองคนกับผีร่วมมือกัน ยังเป็นสูตรสำเร็จที่ยังคงขายได้ตลอดกาล และดูเหมือนว่าเรื่องนี้..น่าจะออกมาเวิร์กเหมือนกัน We Have a Ghost บ้านนี้มีผีป่วน ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวเพรสลีย์ที่มองหาการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองชิคาโก พวกเขาย้ายเข้าไปอยู่บ้านเก่าที่เต็มไปด้วยฝุ่นเขรอะ แต่ในไม่ช้าทุกคนก็ตระหนักได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างซุกซ่อนอยู่ในบ้านหลังนี้ นั่นก็คือ เออร์เนสต์ ผีในห้องใต้หลังคา ที่พยายามทำให้สมาชิกในบ้านหวาดกลัว แต่เพราะจิตวิญญาณที่เข้ากันได้อย่างน่าประหลาด ทำให้ เควิน กับ เออร์เนสต์ ผูกพันกันอย่างรวดเร็ว และทราบว่าผีที่สิงอยู่ในบ้านหลังนี้ต้องการให้ช่วยเหลือบางอย่าง ในขณะที่ แฟรงค์ เสาหลักของบ้านที่สุภาพอ่อนน้อม ชีวิตของเขาเปลี่ยนทันทีที่มีผีประจำบ้านเข้ามาพัวพัน หลังจากที่คลิปคนกับผีถูกแชร์เป็นไวรัลไปทั่วโซเชียลมีเดีย ทำให้คนทั่วโลกต่างจับจ้องไปยังที่บ้านของตระกูลเพรสลีย์ และยังตกเป็นเป้าของ ดร.เลสลี่ มอนโร นักวิทย์ฯ ที่พยายามพิสูจน์เรื่องดวงวิญญาณ รวมทั้งอีกหลาย ๆ คนที่มีส่วนเชื่อมโยงเกี่ยวกับอดีตของผีเออร์เนสต์ ทำให้บ้านที่ควรจะอบอุ่นหลังนี้..เต็มไปด้วยอลหม่าน อันที่จริงคอนเซ็ปต์ใน We Have a Ghost ค่อนข้างน่าสนใจ แม้ว่าโครงสร้างต่างอ่านต่อ

Somebody I Used To Know ตัวฉันในวันวาน

“Somebody I Used to Know ตัวฉันในวันวาน” ที่เป็นหนังเล็ก ๆ ที่จะพาผู้ชมแทรกซึมเข้าไปทบทวนกับชีวิตที่เคยผ่านมา นำมาสู่ชีวิตปัจจุบันที่ได้รับอิทธิพลจากวันวานที่เคยถวิลหา… Somebody I Used to Know ตัวฉันในวันวาน ว่าด้วยชีวิตของ แอลลี่ โปรดิวเซอร์รายการทีวีผู้บ้างาน เผชิญหน้ากับความล้มเหลวครั้งสำคัญในอาชีพ ทำให้เธอต้องกลับไปพักใจที่บ้านเกิด และที่นั่นเธอได้ใช้เวลาในค่ำคืนที่ไม่คาดคิดเพื่อย้อนถึงวันวานกับรักแรกของเธออย่าง ฌอน และเธอเริ่มตั้งคำถามทุกอย่างเกี่ยวกับตัวตนที่เธอเป็นในทุกวันนี้ สิ่งต่างๆยิ่งชวนสับสนมากยิ่งขึ้นเมื่อเธอรู้ว่าฌอนกำลังจะแต่งงานกับแคสซิดี้ ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและความคิดสร้างสรรค์ นั่นยิ่งทำให้แอลลี่นึกย้อนไปถึงคนที่เธอเคยเป็น นี่คือฝีมือการกำกับและเขียนบทเองของนักแสดงหนุ่ม “เดฟ ฟรันโก” โดยถือว่าเป็นผลงานการทำหนังยาวอย่างเต็มตัวเรื่องที่ 2 ของเขาแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้คุณศรีภรรยา “”แอลิสัน บรี” มาช่วยเขียนบทหนังด้วย นอกจากที่เธอจะเป็นนักแสดงนำ มาครั้งนี้ปรับมาเป็นโหมดหนังรักตลกที่เต็มไปด้วยกิมมิกและประเด็นอันคมคายที่สอดแทรกมุมมองการค้นหาชีวิตที่เป้นบทหนังรักที่ธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาจริง ๆ หนังในองค์ประกอบที่อยากจะชื่นชมของหนัง Somebody I Used to Know ก็คือบทหนัง เพราะดูจากหน้าหนังอย่างผิวเผินก็นึกว่าจะเป็นแค่หนังรักทั่วไปที่มีประเด็นกลับมาบ้านเกิดแล้วเจอแฟนเก่า แต่กลายว่าบทหนังมีความบียอนด์ไปมากกว่า แม้ว่าจะอยู่บนพื้นฐานของสูตรสำเร็จก็ตาม หนังมีกลิ่นอายของหนังรักคลาสสิกแบบอ่านต่อ

“Your Place or Mine รักสลับบ้าน” ดูสะดุดตาและน่าสนใจยิ่งขึ้นในบัดดล เพราะเคมีที่แฟน ๆ หนังรักต่างเฝ้าฝันหามานาน ตอนนี้มันได้กลายมาเป็นความจริงบนจอแล้ว Your Place or Mine รักสลับบ้าน เป็นเรื่องราวของ เด็บบี้ กับ ปีเตอร์ พวกเขาเป็นเพื่อนซึ้กันมายาวนาน ตั้งแต่สมัยเรียน แม้ว่าจะมีชีวิตที่ตรงกันข้ามคนขั้วเลยก็ตาม เธอมีกิจวัตรหลัก ๆ อยู่ดูแลลูกชายในลอสแองเจลิส ขณะที่เขาย้ายไปเติบโตและวางรากฐานตัวเองอยู่ที่นิวยอร์ก เมื่อพวกเขาตัดสินใจสลับบ้านกันในชีวิตเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ทำให้ได้ค้นพบว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ต้องการจริง ๆ ในชีวิตนี้ คือแค่ได้ยินชื่อ “รีส วิเธอร์สปูน” กับ “แอชตัน คุชเชอร์” มาจอยในหนังโรแมนติกด้วยกัน ก็ทำให้หูตาสว่างไปด้วยความตื่นเต้นแล้ว เพราะพวกเขาถือเป็นสมบัติอันล้ำค่าของหนังแนวนี้ และต่างก็เคยได้รับตำแหน่งกับฉายาว่า ตัวแม่ กับ ตัวแม่ หนังรอมคอม ในช่วงยุคปี 2000s ด้วย ดังนั้นการมาจับคู่บนจอครั้งนี้ของพวกเขา ถือว่าเป็นการจับคู่เคมีที่เหมาะเจาะและเป็นสิ่งที่แฟนหนังรักรอคอยมานานแสนนานแล้ว แต่กระนั้นก็แอบรู้สึกเสียดายอยู่หน่อย ๆอ่านต่อ