Better Days ไม่มีวัน ไม่มีฉัน ไม่มีเธอ

Better Days : ไม่มีวัน ไม่มีฉัน ไม่มีเธอ | เมื่อการกลั่นแกล้งนำไปสู่บทสรุปอันน่าเศร้า Better Days (ไม่มีวัน ไม่มีฉัน ไม่มีเธอ) เมื่อการกลั่นแกล้งนำไปสู่บทสรุปอันน่าเศร้า หนังสะท้อนสังคมน้ำดีจากจีนที่ทุกคนไม่ควรพลาด! บทความรีวิวนี้ ถูกเขียนขึ้นมาจากความรู้สึกส่วนตัวของผม หากผิดพลาดประการใด หรือไม่ถูกใจใครต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ แต่ก่อนจะมาเริ่มการรีวิวเรามาดูเรื่องย่อกันก่อนดีกว่า Better Days (ไม่มีวัน ไม่มีฉัน ไม่มีเธอ) สามารถรับชมได้พร้อมพากย์ไทยทาง Netflix เรื่องย่อ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะว่าด้วยเรื่องราวการกลั่นแกล้งกันของเด็กนักเรียนในเมืองจีน ซึ่งเนื้อเรื่อได้รับแรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริง โดยจะติดตามเรื่องราวของ เฉินเหนียน (รับบทโดย โจวตงอวี่) เด็กสาวเรียนดีที่บ้านฐานะยากจน เธอมีความฝันจะสอบเข้ามหาลัยดีๆ เรียนให้จบ และหางานทำเพื่อพาแม่หลีกหนีจากชีวิตอันยากลำบาก ทว่าชีวิตมันไม่ได้ง่ายเช่นนั้น เพราะในโรงเรียนที่เธออยู่นั้นมีการกลั่นแกล้งกันอย่างรุนแรง จนวันหนึ่งเด็กสาวคนหนึ่งที่ถูกกลั่นแกล้งได้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย เฉินเหนียนที่ทนไม่ได้จึงเข้าไปให้ปากคำกับตำรวจ ทำให้เธอตกเป็นเหยื่อคนต่อไปและเริ่มถูกรุมกลั่นแกล้งอย่างหนัก( อยู่มาวันหนึ่งเธอได้บังเอิญไปเจอกับ เสี่ยวไป๋ (รับบทโดย อี้หยางเชียนซี) ที่ถูกรุมทำร้ายอยู่อ่านต่อ

IO ผู้ยืนหยัดคนสุดท้าย

IO ผู้ยืนหยัดคนสุดท้าย : เมื่อโลกเป็นพิษ เธอเลยใช้ชีวิตแบบนักปรัชญา IO Last on Earth เป็นหนังไซไฟผลงานของ โจนาธาน เฮลเพิร์ต ซึ่งเติบโตมากับหนังสายยุโรปอย่างฝรั่งเศส และนี่เป็นหนังขนาดเรื่องที่ 2 ของเขาเท่านั้น ในขณะที่เรื่องแรกอย่าง House of Time (2015) ที่ฉายในฝรั่งเศสก็เป็นแนวไซไฟคอเมดี้ ซึ่งทำให้เห็นว่าตัวเขานั้นสนใจในหนังแนวไซไฟ หรือแฟนตาซีอยู่ไม่น้อย และสำหรับ IO ก็เป็นการบิดแนวหนังไซไฟมาเล่นเชิงดราม่าปรัชญาและการแสวงหาความหมายของชีวิตสุดท้ายบนโลก โดยอิทธิพลการเล่าเรื่องหลัก ๆ นั้นน่าจะมาจากหนึ่งในทีมเขียนบท และโปรดิวเซอร์ของหนัง อย่าง ชาร์ล สเปโน ที่เคยมีงานอย่าง Embers (2015) ซึ่งว่าด้วยโลกอนาคตที่ผู้คนต่างสูญเสียความทรงจำและผู้รอดชีวิตต่างแสวงหาความเชื่อมโยงกับโลกและผู้อื่น ด้วยเนื้อหาและลีลาการเล่าเชิงกวีปรัชญานั้นก็ไม่ต่างจาก IO เลยทีเดียว เรื่องย่อ : แซม คือนักวิทยาศาสตร์คนสุดท้ายบนโลก เนื่องจากโลกประสบปัญหามลพิษจนไม่เหลือสิ่งมีชีวิตใด ๆ ดำรงอยู่ได้อีก ประชากรโลกส่วนใหญ่เลือกเดินทางสู่อาณานิคมในอวกาศซึ่งตั้งอยู่แถวดวงจันทร์ไอโอของดาวพฤหัสบดี แต่แซมยังคงเชื่อว่าโลกยังมีความหวังที่จะฟื้นฟูได้อ่านต่อ

6 Underground 6 ลับ ดับ โหด

6 Underground: โทนี่ สตาร์ก ที่ฮาแบบเดดพูล แต่บู๊แบบไมเคิล เบย์ 6 Underground เป็นภาพยนตร์ออริจินัลจาก Netflix โดยได้ผู้กำกับและนักแสดงชื่อดังมาร่วมงานคือ ไมเคิล เบย์ ผู้กำกับจอมระเบิดภูเขาเผากระท่อมพร้อมกับ ไรอัน เรย์โนลด์ นักแสดงนำของเรื่องผู้ที่มีผลงานดัง ๆ มากมายเช่น Deadpool หรือ Green Lantern การร่วมงานของสองคนนี้ก็ได้ผลงานสุดมันส์ระห่ำออกมาสะใจคอหนังขาบู๊เพียงแต่ว่ามันก็มีข้อเสียหลายอย่างทีเดียวที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีด่างพร้อยพอควร เรื่องย่อ : พวกเขาคือกลุ่มคนที่ทนความอยุติธรรมบนโลกนี้ไม่ได้ เมื่อกฎหมายลงโทษคนชั่วที่แท้จริงไม่ไหว เศรษฐีหนุ่มจึงแกล้งสร้างสถานการณ์ให้ตนเองตาย และรวมสมัครพรรคพวกอีก 5 คนซึ่งต่างความสามารถต่างที่มาแต่อุดมการณ์เดียวกัน มาร่วมตายจากโลกใบนี้และเกิดใหม่ในฐานะฮีโรใต้ดินที่แทนชื่อตัวด้วยหมายเลข เพื่อออกขจัดความชั่วร้ายในโลกนี้ เรียกว่าเป็นพล็อตเรื่องที่ดูเหมือนเป็นกลุ่มซูเปอร์ฮีโร่เสียด้วยซ้ำน่าจะมีแนวทางการเล่าเรื่องแบบง่าย ๆ แต่ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีสไตล์การเล่าเรื่องที่แตกต่างจากหนังแอ็คชั่นเรื่องอื่นครับโดยจะเล่าย้อนอดีตประวัติสมาชิกแต่ละคนให้คนดูรู้จักปูมประวัติและเดินเรื่องปัจจุบันไปด้วยซึ่งฟังดูก็น่าสนใจแปลกใหม่ครับแต่พอออกมาจริง ๆ แล้วกลับกลายเป็นว่าดูแทบไม่รู้เรื่องแถมการลำดับสำคัญเนื้อหาทำได้แย่เลยทีเดียว นอกจากการเล่าเรื่องที่ไม่ดีแล้วเคมีมิติของตัวละครก็แย่ยิ่งกว่าเพราะแบนราบแม้ว่าในหนังเราจะได้เห็นอดีตหรือปมของตัวละครแต่ตัวหนังกลับละเลยปมประเด็นเหล่านั้นทำให้คนดูไม่รู้สึกร่วมไปกับตัวละครหลัก รวมถึงตัวร้ายและบรรดาลูกสมุนของเรื่องด้วยที่จืดจางไม่น่าจดจำมาเป็นกระสอบทรายให้พวกพระเอกถล่มเล่นอย่างเดียวไม่ได้รู้สึกถึงความยากลำบากของอุปสรรคและไม่มีบทพลิกผันให้ลุ้นหรือเอาใจช่วยเลย ถึงจะมีข้อตำหนิที่เยอะแต่ถ้าว่ากันด้วยข้อดีจุดเด่นของ 6 Underground ก็คงจะเป็นฉากแอ็คชั่นนี่แหละครับที่ ไมเคิล เบย์ ทำออกมาได้ไม่ผิดหวังมีฉากเท่ ๆอ่านต่อ

Triple Frontier ปล้น ล่า ท้านรก

Triple Frontier : ปล้น ล่า ท้านรก – อัตราแลกเปลี่ยนของสงครามและศักดิ์ศรี เมื่อสงครามปราบยาเสพติดในบราซิลกำลังสะเด็ดน้ำ โป๊บ (ออสการ์ ไอแซค) สบช่องคิดแผนเผด็จศึกพ่อค้ายาและปล้นเงินจำนวนมหาศาลติดปลายนวม และเพื่อให้ปล้นแล้วรวย เขาจึงรวบรวมอดีตเพื่อนร่วมรบทั้ง เรดฟลาย (เบน เอฟเฟล็ก) ทหารผ่านศึกหัวเสธจอมวางแผน, ไอรอนเฮด (ชาร์ลี ฮันแนม) และ เบน (แกร์เรต เฮดลันด์) พี่น้องนักสู้โคตรระห่ำ และ แคตฟิช (เปโดร ปาสคาล) นักบินติดแบล็กลิสต์ และแม้ว่าพวกเขาจะคิดแผนมาเนี๊ยบเพียงไรแต่ความโลภ และอันตรายของผู้มีอิทธิพลก็ไม่ปล่อยพวกเขาลอยนวลไปง่ายๆ นับได้ว่า Triple Frontier เป็นอีกหนึ่งโปรเจคต์สุดทะเยอทะยานของ Netflix ทั้งการทุ่มงบกับโปรดักชั่นและการลงทุนจ้างนักแสดงดังๆมารับบทนำ ซึ่งหากมองผิวเผินดูจากหน้าหนัง หลายคนคงคิดว่าตัวหนังคงมาทางสงครามสุดระห่ำ ยิงกันหูดับตับไหม้แน่ๆ ทั้งที่จริงแล้วกว่า 70% ของหนังเป็นการวางแผนและการเอาตัวรอดของทีมปฏิบัติการปล้นครั้งนี้ที่สะท้อนให้เห็นภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของสงครามในยุคหลังที่ สหรัฐอเมริกา เอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยมีผลประโยชน์มหาศาลอยู่เบื้องหลัง ซึ่งพลอตดราม่าและปมซับซ้อนแบบนี้ก็ไม่คณามือ เจอ่านต่อ

Polar ล่าเลือดเย็น

Polar ล่าเลือดเย็น: นิค ฟิวรี่ แห่ง ดาร์คฮอร์สคอมิกส์ ดันแคน วิซลา นักฆ่าระดับโลกซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “เดอะแบล็คไคเซอร์” (รับบทโดยแมดส์ มิคเคลเซ่น) กำลังล้างมือจากวงการ แต่เจ้านายเก่ากลับหมายหัวว่าเขาเป็นเสี้ยนหนามขององค์กร เขาจึงต้องกลับมาฟาดฟันกับเหล่านักฆ่าเลือดอำมหิตที่เด็กกว่าและเร็วกว่าซึ่งตามล้างผลาญเพื่อปิดปากเขาให้จงได้ ต้นฉบับเป็นเว็บคอมิกแบบกราฟิกโนเวล หรือจะเรียกว่าการ์ตูนที่ให้อ่านเฉพาะในเน็ตแบบบ้านเราเลยก็ได้ ตัวคอมิกส์มีชื่อเต็มว่า Polar Came from the Cold เขียนโดย วิกเตอร์ ซานโตส จากค่าย Dark Horse Comics เมื่อปี 2012 แนวคิดการเขียนเรื่องนี้ ซานโตส เล่าว่าเขาได้จากแรงบันดาลใจผสมผสานระหว่างคอมิกส์ของมาร์เวล อย่างตัวเอกก็ได้แรงบันดาลใจจาก นิค ฟิวรี่ ฉบับดั้งเดิมที่ผิวขาว บวกกับสไตล์เรื่องดาร์ก ๆ แนวนิยายนัวร์ ผสมด้วยแอคชั่นแบบหนังสายลับบอร์น และลีลาของมังงะญี่ปุ่นด้วย มาด้านเนื้อเรื่องหนังก็เล่าแบบง่ายเหมือนเคยเห็นซ้ำ ๆ ในหนังแนวนี้มาแล้วทั้งนั้น เรื่ององค์กรนักฆ่าจ้างทีมฆ่ามาเก็บนักฆ่าเก่าเพื่อสางปัญหายุ่งยาก แต่ก็มีพลอตน่าสนใจตรงบริษัทนักฆ่านี้จงใจจ้างฆ่าลูกน้องเก่าที่เกษียณอายุ หรือแก่เกินใช้งานอ่านต่อ

The Devil All the Time ศรัทธาคนบาป

The Devil All The Time ถือเป็นภาพยนตร์เข้มข้นสุดระทึกเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนิยายที่ได้รับรางวัลงานเขียนมากมาย ผมเพิ่งมารู้จักก็ตอนที่เรื่องนี้ประกาศสร้างตั้งแต่ปี 2018 นี่แหละ นี่ก็ 2020 แล้ว ถือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานพอสมควร 2 ปีแห่งการสร้าง มีการคุยกับนักแสดงมากมายที่จะมาเล่นภาพยนตร์ เสียดายที่คริส อีแวนส์ที่เคยคุยตั้งแต่เริ่มโปรเจกต์ไม่ได้เล่น แต่การได้นักแสดงนำดี ๆ มากมายมารวมตัวกันในภาพยนตร์เรื่องเดียวขนาดนี้ ถือเป็นกำไรใหญ่ที่สตรีมมิ่งเน็ตฟลิกซ์มอบให้ในช่วงเวลาที่ทุกคนต้องกักตัวแบบนี้ การได้ชมหนังเข้ม ๆ รสชาติข้นราวกับกาแฟยามบ่ายถือเป็นอะไรที่ได้อารมณ์อยู่พอสมควรกับคนดู เพราะนอกจากจะมีนักแสดงแล้ว ยังมี เจค กิลเลนฮาน ดาราหนุ่มมากฝีมือที่มารับบทเป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับหนังเรื่องนี้ ก็ทำให้พอจะเห็นแล้วว่าดรีมทีมของภาพ เปิดเรื่องมา ผมเกือบตามเรื่องไม่ทันเลย เพราะหนังใช้วิธีการเล่าผ่านบุคคลที่สาม เหมือนอ่านหนังสือยังไงยังงั้น แต่ว่าหนังก็พาเข้าเรื่องอย่างรวดเร็วโดยการเล่าตัวละครสลับมุมมองไปมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ให้เห็นว่าเหตุการณ์นั้นมีจุดตัดและจุดเปลี่ยนยังไง โดยเฉพาะเรื่องของพระเจ้าและศรัทธา ซึ่งทำให้ผมเริ่มสนใจแล้วว่าหนังจะเล่าเรื่องอะไร พอสักพักหนึ่ง ทำไมตัดไปช่วงนั้น ตัดไปช่วงนี้อีกแล้ว มันมีหลายเส้นเวลา หลายเหตุการณ์มากจนบางทีก็รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ ในที่สุดเรื่องก็เข้าจริง ๆ หลังจากใช้เวลาปูเรื่องในช่วง 45 นาทีแรก ตัวละครแต่ละตัวก็มีปมมีอะไรต่างกันไปอ่านต่อ

TheCall สายตรงต่ออดีต

รีวิว #TheCall สายตรงต่ออดีต The Call สายตรงต่ออดีต เล่าเรื่องราวของ ซอยอน (พัคชินฮเย) หญิงสาววัย 28 ที่ย้ายมาอยู่บ้านหลังเก่า ซึ่งเธอมีปมเรื่องบ้านถูกไฟไหม้จนต้องสูญเสียพ่อ ด้านความสัมพันธ์กับแม่ก็ย่ำแย่ เมื่อเธอมองว่าแม่คือต้นเหตุที่ทำให้เธอนั้นต้องเสียพ่อไป แล้วจู่ ๆ โทรศัพท์บ้านของเธอก็มีสายปริศนาจากอดีตเมื่อปี 1999 ติดต่อเข้ามา ที่ภายหลังถึงรู้ว่าเธอคือ ยองซุก (จอนจงซอ) หญิงสาววัยเดียวกัน ที่ถูกแม่เลี้ยงที่เป็นร่างทรงทารุณสารพัดเพื่อขับไล่วิญญาณร้ายออกไป หากใครกำลังมองหาหนังทริลเลอร์ระทึกขวัญ จิตๆ หลอนๆหน่อย แต่ก็เริ่มเบื่อกับพล็อตหนังที่เดิมๆแล้ว ผมขอแนะนำเรื่องนี้ครับ ว่าด้วยเรื่องหญิงสาวที่บังเอิญได้รับโทรศัพท์มาจากอดีต!!??​ เท่านั้นยังไม่พอ คนที่พูดคุยด้วยนั้นดันเป็นฆาตกรโรคจิตอีกต่างหาก??​ เอาละ แค่ไอเดียและพล็อตเรื่องก็ถือว่าค่อนข้างน่าสนใจแล้ว ก็จะมารีวิวคร่าวๆละกันเดี๋ยวมันจะสปอยเนื้อเรื่องเกินไป หนังเรื่องนี้โดยรวมถือว่าทำได้ค่อนข้างดี ในด้านความทริลเลอร์ ระทึกขวัญ แม้ว่าเอ้อมันอาจจะไม่ได้โหดเลือดสาดจ๋าๆ ขนาดนั้นนนนน เพราะฉะนั้นที่ใครหวังความโหด เลือดสาดก็อาจจะผิดหวังได้กับเรื่องนี้ เพราะส่วนตัวคิดว่าเรื่องนี้จุดแข็งของมันกลับไม่ใช่ความโหดเสียอย่างเดียว แต่มันเป็นพล็อตไอเดียของเรื่องที่เข้าใจคิด และแปลกใหม่ น่าสนใจ น่าติดตามว่าจะเป็นยังไงต่อ จะทำยังไงดี มันทำให้เรามีอารมณ์ร่วมไปกับหนังไปได้อย่างไม่ยากอ่านต่อ

(The Outsider) ดิ เอาท์ไซเดอร์

The Outsider ซีรีส์ HBO งานสร้างจากนิยายยอดเยี่ยมเรื่องล่าสุดของสตีเฟน คิง เรื่องราวคดีฆาตกรรมเด็กที่เป็นปริศนา หลังพบว่าผู้ต้องสงสัยมีสองตัวตนในเวลาเดียวกันต่างสถาณที่ และไม่พบว่ามีแรงจูงใจหรือมีประวัติอาชญากรรมมาก่อน แต่กลับก่อคดีโหดสะเทือนขวัญคนทั้งเมือง เรื่องราวใน The Outsider จึงเดินเรื่องด้วยการสอบสวนเต็มขั้นมากที่สุดเท่าที่หนังสตีเฟน คิง เคยมีมา โดยตั้งธงไปที่การมีสองตัวตนของผู้ต้องสงสัยว่าเป็นฆาตกร ที่หลักฐานทั้งสองด้านต่างแน่นหนาด้วยกันทั้งคู่ หนังจึงใช้เรื่องการตามล่าหาหลักฐานทุกแบบมาหักล้างและอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ให้ได้ ในแนวทางนิติเวชยืนยันด้วยวิทยาศาสตร์เป็นหลัก รวมถึงการสืบสวนในเชิงจิตวิทยากับพยานบุคคล และตัวผู้ต้องหาในเรื่อง ซึ่งทำให้คนดูได้สงสัยและคิดตามได้ตลอดเรื่อง เรื่องนี้เน้นหนักไปทางการสอบสวนจริงจัง ตัวละคร Ralph ตัวเอกของเรื่องนี้จึงไม่เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติเลยสักนิด และพร้อมปฏิเสธการมีอยู่ของเรื่องเหล่านี้ด้วยอย่างหนักแน่น ซึ่งก็เป็นหัวใจของเรื่องนี้ที่พยายามทำให้ทุกอย่างที่ดูเหนือธรรมชาติให้กลับมามีคำตอบได้ อาจจะไม่เป็นแนววิทยาศาสตร์ซะทีเดียว แต่ก็เหมือนเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ในโลกจริงๆ มากกว่าแนวทางนิยายปกติของคิงที่ชี้ชัดเสมอแต่แรกแล้วว่ามีผีหรือปีศาจแบบไหนในเรื่อง แต่เรื่องนี้จะอึมครึมไปด้วยความคลุมเคลือแบบนี้จนจบเรื่อง อาจจะไม่ได้มีฉากหวือหวาหลอกหลอนอะไรนัก แต่ก็สร้างบรรยากาศกดดันนิ่งๆ รอการระเบิดได้ตลอดเวลา ซีรีส์มีทั้งหมด 10 ตอนจบ ซึ่งแนะนำเลยว่าควรค่าแก่การรับชม นี่เป็นหนังสตีเฟน คิง ในช่วงหลังที่ IT จุดกระแสและทำได้ดีมาก จนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของหนังที่ทำจากสตีเฟน คิง ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำได้เยี่ยมเช่นกัน อีกทั้งนิยายที่ได้รับคำชมการันตีล้นหลาม แต่ในส่วนนิยายเรื่องนี้ยังไม่มีแปลไทยออกมาอ่านต่อ

ความรักแปลกหน้าของสองเรา (Us And Them)

Us and Them หรือชื่อภาษาจีนว่า 后来的我们 เข้าฉายในประเทศจีนปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำรายได้เปิดตัววันแรก 45.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำรายได้สองสัปดาห์ราว 150.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และทำรายได้ตลอดการฉาย 202 ล้านเหรียญสหรัฐ ล่าสุด Netflix ได้ซื้อลิขสิทธิ์มาฉายมากกว่า 190 ประเทศทั่วโลก Us and Them คือภาพยนตร์เรื่องแรกของผู้กำกับหญิง เรเน่ หลิว นักร้องและนักแสดงชาวไต้หวัน ผลงานการแสดงของเธอก่อนหน้านี้ เช่น The Personals (1998) และ A World Without Thieves (2004) การรับหน้าที่ผู้กำกับครั้งนี้เป็นการรวมทีมกับมืออาชีพมากมายทั้ง มาร์ก ลีปิงบิง ช่างภาพที่เคยร่วมงานกับหว่องกาไวในภาพยนตร์ In the Mood for Love (2000) ร่วมด้วยนักแสดงดาวรุ่งอย่าง จิ่งโป้วหลานอ่านต่อ

The King เดอะ คิง

The King กำกับโดย เดวิด มิจด ผู้กำกับชาวออสเตรเลีย โดยมีเนื้อเรื่อง ว่าด้วย ฮัล (ทิโมธี ชาลาเมท) เจ้าชายผู้เอาแต่ใจและไม่ปรารถนาจะสืบทอดราชบัลลังก์หันหลังให้ชีวิตในวังหลวงและอยู่อย่างสามัญชนคนธรรมดา แต่หลังจากพระราชบิดาผู้เหี้ยมโหดสิ้นพระชนม์เจ้าชายฮัลก็ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 และจำต้องใช้ชีวิตในแบบที่เคยทิ้งไป พระองค์ต้องหาทางรับมือกับพวกแก่งแย่งชิงดี รับช่วงต่อสงครามและความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ตลอดจนมรสุมอารมณ์จากชีวิตในอดีต รวมทั้งความสัมพันธ์กับจอห์น ฟอลสตาฟ (โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน) อัศวินขี้เมาที่เป็นทั้งเพื่อนและพี่เลี้ยงคนสนิท “เดอะคิง (The King)” เป็นผลงานการกำกับการแสดงโดยเดวิด มิจด เขียนบทโดยเดวิด มิจดและโจเอล เอ็ดเกอร์ตัน นำแสดงโดยฌอง แฮร์ริส, เบน เมนเดลโซห์น, โรเบิร์ต แพตทินสัน และลิลลี่ โรส เดปป์ ซึ่งตัวหนังเหมาะกับคนที่รู้เรื่องราวของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 มาก่อนแล้วเพราะไม่มีการปูพื้นเรื่องราวมาก่อน สำหรับผมที่ไปหาข้อมูลมาก่อนดูนั้นถือว่าดูเข้าใจเนื้อเรื่องพอสมควรและทำให้ สนุกในการดู ดังนั้นก่อนดูผมแนะนำให้เพื่อนๆนั้นไปหาประวัติของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 มาก่อนจะให้ไม่งงกับเนื้อเรื่อง โดยตัวหนังจะออกแนวดราม่ามากกว่าสำหรับเพื่อนๆที่คาดว่าจะเป็นแนวสงครามฉากบู้อลังการนี่ขอให้ข้ามเรื่องนี้ไปเลยครับเพราะฉากการรบนั้นมีเพียงเล็กน้อยในช่วงท้ายของเรื่องเท่านั้น แต่ผมก็รู้อยู่แล้วล่ะครับเพราะเป็นหนังของอ่านต่อ