Mad Max เป็นหนังที่สร้างมาจากวิกฤตการณ์น้ำมันปี ค.ศ.1973 ที่กระทบทั้งการเมืองและเศรษฐกิจของนานาประเทศ จนมาถึงภาคนี้ จากโลก post-apocalyptic ในไตรภาคเดิม ที่ว่าแย่แล้ว โลกของ Mad Max: Fury Road เป็นอะไรที่หนักและน่ากลัวกว่ามาก
แม้ไม่ได้ระบุวันเวลาและสถานที่ชัดเจน สิ่งนึงที่หนังภาคนี้บอกคือการเซ็ตให้อยู่ในโลก post-apocalyptic wasteland ที่สงครามนิวเคลียร์ได้ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ล้มหายตายจากไปจนแทบไม่เหลือ มองไปทางไหนก็มีแต่ฝุ่นแต่ทราย ไร้สิ่งปลูกสร้างที่คุ้นตา แห้งแล้งแบบที่ดูแล้วต้องอยากดื่มน้ำตลอดเวลา และน้ำมันกับยานพาหนะเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งชีพ หรือเยี่ยงชีพ ภายใต้โทนภาพ colorful แม้สภาพแวดล้อมจะดูโหดร้าย การเคลื่อนกล้อง การแสดง และแอ็กชั่นที่สื่อถึงความดิบเถื่อนป่าเถื่อนออกมาได้เข้ากับคอนเซ็ปต์ของหนังเป็นอย่างดี
Mad Max: Fury Road ไม่ใช่แค่หนังดูเอามัน แต่ทำให้เราได้ฉุกคิดถึงอะไรหลายๆ อย่าง เช่นผลกระทบจากการทำสงครามแก่งแย่งชิงดีจนนำมาสู่จุดจบมนุษยชาติ โลกที่เราใช้ทรัพยากรจนหมดไม่เหลือ โลกที่ร้อนระอุเพราะชั้นบรรยากาศพังทลาย โลกที่ไม่มีต้นไม้อีกแล้ว โลกที่ไม่น่าอยู่อีกต่อไป รวมไปถึงโลกไร้อารยธรรมที่ผู้ปกครองด้วยกำลังและความกลัวได้ดี ทำให้เมื่อมองกลับมาดูโลกของเราตอนนี้แล้ว แม้จะน่าอยู่น้อยลงเรื่อยๆ ก็จริง แต่อดไม่ได้ที่จะเอามันมากอด ทะนุถนอม อุ้มอย่างระมัดระวัง และเอาใจใส่กับมันมากขึ้นกว่าที่เคย
ในท้ายที่สุด หลังจากการเสียชีวิตของฮีธ เลดเจอร์ ผู้กำกับจอร์จ มิลเลอร์ จึงตัดสินใจดึงดาวรุ่งพุ่งแรงที่มีลุคเข้ากับหนังที่มีความดิบเถื่อนดุดันและบทที่ต้องใส่หน้ากากหรือมีอะไรซักอย่างมาบังใบหน้าอย่าง ทอม ฮาร์ดี (Tom Hardy) มารับบทนำ ทำให้หนัง Mad Max: Fury Road เป็นภาค 4 กึ่งรีบู๊ตด้วยนักแสดง รวมถึงตัวโลกของหนังที่เปลี่ยนไปก็ด้วยเช่นกัน
ข้อมูลเกี่ยวกับ Mad Max: Fury Road
- ชื่อไทย แมด แม็กซ์: ถนนโลกันตร์
- ผู้กำกับ จอร์จ มิลเลอร์
- ประเภท แอคชั่น การผจญภัย ไซไฟ
- ความยาว 2 ชม.
- ปีที่ฉาย 2015