รีวิวหนัง Postman ไปรษณีย์ 4 โลก

Postman ไปรษณีย์ 4 โลก

เรื่องย่อหนัง Postman

Postman ไปรษณีย์ 4 โลก เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่มีชีวิตเวียนวนอยู่ใน 4 ยุคที่ทำให้เกิด 4 เรื่องเล่าที่หลอมรวมผูกโยงเป็นเรื่องเดียวกัน คนที่มีหน้าที่ ส่งต่อ ส่งสาร ส่งความคิดถึง และส่งความสำคัญ ไม่ว่าสิ่งนั้นๆ จะคืออะไรก็ตาม ที่แตกต่างกันไปตามยุคสมัย และทุกอย่างล้วนมีคุณค่า ก่อเกิดความผูกพันธ์ระหว่างมนุษย์ ที่มีทั้งสุข เศร้า คลุกเคล้าความตลกร้าย แต่น่าประทับใจ

แน่นอนว่าผนึกชื่อบนหนังเอาไว้ด้วย “ตุ๋ย-พฤกษ์ เอมะรุจิ” ที่เขากลายเป็นนักสร้างหนังคอมเมดีตัวพ่อเบอร์ต้น ๆ ของยุคนี้เลย แต่กลับกลายเป็นว่า Postman ไปรษณีย์ 4 โลก เหมือนเป็นผลงานที่ผ่อนความร้อนแรงจากความตลกในเนื้องานก่อน ๆ ของเขา มาสู่งานสร้างที่ค่อนข้างพิถีพิถันขึ้น พ่วงด้วยการจัดแจงอัตลักษณ์ของแต่ละยุคให้กลมกล่อม

รีวิวหนัง Postman

จาก ไบค์แมน มาสู่ อีเรียมซิ่ง แล้วปรับฟีลมาที่ ใจฟู..สตอรี่ เมื่อมาถึงผลงานชิ้นนี้ Postman ไปรษณีย์ 4 โลก จึงกลายเป็นหนังที่ ตุ๋ย พฤกษ์ ได้รับความไว้วางใจและมากับงานสร้างที่พยายามทำให้กลมกล่อม ผนวกเข้ากับจังหวะหนังแนวที่ถนัดสร้างเป็นทุนเดิม ดังนั้นเราก็สัมผัสได้ถึงเสน่ห์และความเป็นตัวตนของผู้กำกับในเนื้องานเรื่องนี้ ถึงแม้ว่ามันจะยังประดักประเดิดอยู่ตลอดทั้งเรื่องก็ตาม

Postman ไปรษณีย์ 4 โลก เป็นหนังที่สร้างมาจากนักเขียนรุ่นใหม่ไฟแรง ผู้ชนะรางวัลจากโครงการประกวดพล็อตเรื่อง Major Writer Contest เมื่อไม่กี่ปีก่อน ซึ่งคอนเซ็ปต์เข้าตากรรมการและถูกนำมาพัฒนาสร้างเป็นหนังขึ้นจอใหญ่ในที่สุด ก็ต้องยอมรับว่าไอเดียของหนังเรื่องนี้ค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว ไม่ประหลาดใจเท่าไหร่ที่พล็ตอจะคว้าชัยชนะมาได้ แต่กระนั้นเมื่อกลายมาเป็นบทหนังจริง ๆ แล้ว มันก็ยังเต็มไปด้วยช่องโหว่เต็มไปหมดเช่นเดียว

การปลุกปั้นเรื่องออกมาเป็น 4 ยุค 4 เรื่องราว อันที่จริงก็ไม่ใช่โครงสร้างพล็อตที่แปลกใหม่อะไร เพราะย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน พล็อตสไตล์นี้เคยเป็นที่นิยมอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เพียงแต่เมื่อมีรายละเอียดอยู่มากมายเต็มไปหมด กับเวลาที่จำกัดในการนำเสนอในตัวหนังนั้น ก็พลอยทำให้จังหวะต่าง ๆ ยังค่อนข้างสัมผัสไปได้อย่างผิวเผินไปอย่างน่าเสียดาย

ถึงแม้ว่าการเล่าเรื่องของหนังจะตัดสลับไปมาระหว่างทั้ง 4 ยุค แต่ทุกยุคก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เริ่มต้นที่ยุคหิน นับว่าเป็นความท้าทายในการนำเสนอไม่น้อย เพราะเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการแสดงล้วน ๆ แบบไม่มีการสื่อสารด้วยคำพูด และ “เบิร์ด บุญพงษ์” ก็แบกรับหน้าที่ดูแลพาร์ทนี้ได้อย่างเหมาะเจาะ ด้วยทักษะงานละครเวทีชั้นครูมาเล่นเอง ถือว่าเป็นส่วนที่ไว้วางใจได้ แม้ว่ามันจะเป็นพาร์ทที่ไม่ได้โดดเด่นที่สุดในหนังแต่อย่างใด

ถัดมากับยุคบ้านระจันแตก ช่วงสมัยอยุธยาตอนปลาย ถือว่าเป็นพาร์ทที่ผู้กำกับหยอดความเป็นคอมเมดี้ลงไปอย่างอัดอั้น พล็อตส่วนนี้แทบจะไม่มีอะไรเลย แต่การแสดงของ “ต้นหน ตันติเวชกุล” กับ “ญดา นริลญา” ก็ช่วยกันประคับประคองกันเอาไว้ได้ดี ถึงองค์ประกอบและรายละเอียดต่าง ๆ ในพาร์ทนี้จะค่อนข้างเขละขละไปสักหน่อย ดูเป็นองก์ที่ต้องการถ่ายทอดออกมาให้ดูทีเล่นทีจริง ดังนั้นก็พลอยทำให้อารมณ์ในพาร์ทนี้ก็ทำได้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ

ขณะที่ตัดภาพมาสู่ยุควิกฤติต้มยำกุ้ง ที่ถือว่าไม่ไกลจากยุคปัจจุบันสักเท่าไหร่ ถือว่าปรับโหมดใส่อารมณ์ดรามาจัดจ้านเข้ามาบิวท์อารมณ์ได้ดี ถึงแม้ว่าพล็อตเรื่องส่วนนี้จะไม่ค่อยมีอะไรมากเช่นกัน แต่กลับสื่อสารออกมาได้อย่างทรงพลัง “เป้ อารักษ์” กับ “มุก วรนิษฐ์” แทบจะชิดซ้ายไปเลย เมื่อเจอการแสดงของ “เอี้ยง สวนีย์” เข้าไป น้อยแต่มากและส่งอารมณ์ได้ทรงพลัง มีสิทธิ์ลุ้นได้เข้าชิงรางวัลได้อยู๋เหมือนกัน

ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง: Postman

  • ประเภท: ดราม่า / ตลก / ไซไฟ / ผจญภัย
  • ผู้กำกับ: พฤกษ์ เอมะรุจิ
  • นำแสดงโดย: อารักษ์ อมรศุภศิริ, สพล อัศวมั่นคง, ต้นหน ตันติเวชกุล
  • ความยาว: 108 นาที
  • กำหนดฉายในไทย: 31 สิงหาคม 2023 (เฉพาะในโรงภาพยนตร์เครือเมเจอร์ฯ)

ต้วอย่างหนัง Postman