💙 รีวิวภาพยนต์🔪 (Scream) หวีดสุดขีด

💙 คลิปตัวอย่าง🔪 (Scream) หวีดสุดขีด

• เรื่อง         Scream
  ประเภท   Horror/Mystery/Thriller
  ผู้กำกับ    Matt Bettinelli-Olpin
  ความยาว 1h 54m
  ปีที่ฉาย    2022
  IMDB    6.3/10

💙 รีวิวภาพยนต์🔪 (Scream) หวีดสุดขีด

เป็นการกลับมาอีกครั้งของแฟรนไชส์หนังสยองขวัญเรื่องฮิตตลอดกาลของฮอลลิวูด ที่คัมแบ็กครั้งนี้ในรอบทศวรรษที่มาช่วยย้ำเตือนว่า…หนังชุดยังไม่สูญหายและตายจากวงการไปได้ง่ายๆ และยังคงมีเส้นเรื่องที่ดำเนินไปต่อได้อย่างไม่มีปลายทาง นี่คือ “Scream” (หวีดสุดขีด) หนังเรื่องที่ 5 ของแฟรนไชส์นี้ที่เริ่มต้นมาจากตั้งช่วงปลายยุค 90s แม้ว่าจะไม่ใช่เรียกว่าเป็นภาค 5 แต่เมื่อได้ลองไปสัมผัสดูด้วยตาตัวเองก็พบคำตอบว่า…ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

Scream หวีดสุดขีด เล่าเรื่องราว 25 ปีให้หลังจากเหตุฆาตกรรมโหดร้ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเหตุการณ์สุดช็อกในเมืองเงียบๆ อย่าง วูดส์โบโร แต่ปรากฏว่าความสงบเงียบที่จางหายไปหายปีนี้ กลับไม่ได้เงียบอีกต่อ เพราะวันนี้ได้มีนักฆ่ารายใหม่ที่สวมหน้ากากโกสต์เฟซปิดบังใบหน้า ออกไล่ล่ากลุ่มวัยรุ่นที่รื้อฟื้นความลับของเมืองในอดีต จึงทำให้พวกเขาต้องหาหนทางเอาตัวรอด และจำเป็นต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ให้มาช่วยแก้สถานการณ์

ในหนังภาคนี้ได้ 2 คู่หูผู้กำกับ “แมตต์ เบตติเนลลี่-โอลพิน” กับ “ไทเลอร์ กิลเลตต์” มาแท็กทีมสร้างสรรค์ผลงานสุดสยองแสนบรรเจิดด้วยกันอีกครั้ง หลังจากที่พวกเขาทำผลงานออกมาได้ยอดเยี่ยมใน Ready or Not เมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา และแน่นอนว่าลูกเล่นและลายเส้นของพวกเขายังคงโดดเด่น กับลีลาอันแพรวพราวเป็นเสน่ห์ที่ถูกหยิบนำมาใช้ใน Scream เรื่องนี้ กลายเป็นความบันเทิงในรูปแบบแฟนเซอร์วิสและได้ใจไปเต็มๆ
ถึงแม้ว่า Scream ก็ยังคงเป็นหนังแนว Scream ไม่มีอะไรแตกต่าง ยังคงอยู่บนพื้นที่สูตรสำเร็จเดิมๆ ของแฟรนไชส์หนังเรื่องนี้ แต่สิ่งที่ภาคนี้ได้นำมาแต่งเติมและสร้างมิติให้กับรสชาติเดิมได้อย่างมีองค์ประกอบหลากหลายก็คือการพยายามสดุดีหนังต้นฉบับนั่นเอง เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ฉากแรกของหนังเลย จึงออกมาเป็นหนังที่มาครบทุกรส ทั้งสยองเลือดสาด ทั้งฟันแทงตามสไตล์ และขบขันกับมุกตลกที่ส่วนใหญ่เหน็บแนมและเสียดสีหนังตัวเองแทบพรุน…แบบสะใจผู้ชม

Scream ในภาคนี้พยายามที่จะหยิบยืมเอาความเป็น Scream ภาคแรกมาช่วยในการขับเคลื่อน ถึงบทหนังและโครงเรื่องนี้จะค่อนข้างซ้ำซาก เหมือนจะเจริญรอยตามแบบหนังภาคแรกในทิศทางเป็นการเคารพ แต่หนังก็ใส่สีสันที่น่าติดตามและสนุกสนานดีไปตลอดทั้งเรื่อง แม้ว่าจะเป็นโครงเดิมๆ แต่ความสนุกก็ยังคงอยู่ และยังสามารถสร้างแฟนเซอร์วิสให้กับคอหนัง ทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดีด้วย
แน่นอนว่าแฟนเซอร์วิสหลักๆ ที่ได้ใจไปเต็มๆ ก็น่าจะเป็นทีมนักแสดงออริจินัล ไม่ว่าจะเป็น “เนฟ แคมป์เบลล์”, “คอร์ตนีย์ ค็อกซ์” หรือ “เดวิด อาร์เควตต์” ที่พวกเขาเป็นสัญญาณที่สำคัญของหนังชุดนี้ไปโดยปริยาย และการกลับมาของพวกเขาก็ไม่เสียเปล่า ไม่ใช่แค่เพียงแขกรับเชิญทั่วๆ ไป แต่เป็นตัวละครดั้งเดิมที่ทำให้แฟนๆ ยังคงประทับใจไม่รู้ลืม แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยผ่านไปนาน แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นไอค่อนเด่นในหนังชุดนี้

ในขณะที่ทีมนักแสดงรุ่นใหม่ก็ถือว่าเป็นดารานิวเจนที่เฉิดฉายได้เป็นอย่างดี และพวกเขาก็เป็นองค์ประกอบเสริมที่ช่วยพยุงหนังเรื่องนี้เอาไว้ได้อย่างน่าติดตาม ไม่ว่าจะเป็น “เมลิสซ่า บาร์เรร่า” หรือ “เจนน่า ออร์เทกา” ที่ถือว่าเป็นสองสาวที่ช่วยประคับประคองหนังทั้งเรื่องเอาไว้เป็นอย่างดี รวมทั้ง “ดีแลน มินเนส”, “แจ็ค เควด” หรือ “ไมค์กี้ เมดิสัน” ก็เป็นดารารุ่นใหม่ที่น่าจับตามองทีเดียว
เอาเป็นว่าใครที่เป็นแฟนหนัง Scream ที่เคยติดตามมาทุกภาค ก็น่าจะไม่ผิดหวังกับภาคนี้แน่ๆ แม้ว่าทิศทางและบทหนังจะไม่ได้ดีเด่นอะไรมากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นการคัมแบ็กและคืนฟอร์มได้เป็นอย่างดี เหมือนเป็นการจุดประกายไฟโหมโรงเริ่มต้นแฟรนไชส์นี้ครั้งใหม่ได้อีกครั้ง

แม้ว่าสูตรสำเร็จเดิมๆ อาจจะทำให้เดาทิศทางของหนังได้ไม่ยากสักเท่าไหร่นัก แต่เสน่ห์ของหนังชุดนี้ก็ยังใส่มาเต็ม ไม่ว่าจิกกัดหรือแกงคนดู พยายามพลิกผัน-ตบตาให้คนดูทายไม่ถูกว่าใครคือฆาตกรตัวจริง อันเป็นไฮไลต์เด่นของแฟรนไชส์นี้ ต้องถือว่าเป็นการกลับมาได้อย่างสมศักดิ์ศรีของตระกูล Scream จะบอกว่าดีเทียบเท่าภาคแรกก็น่าจะพูดได้อยู่
โดยสรุปแล้ว Scream ก็ยังคงเป็นหนังที่มอบความบันเทิงเชิงสยดสยองได้ดี ถึงจะไม่ค่อยชอบดูหนังแทงๆ ฟันๆ เลือดสาดอะไรแบบนี้ แต่ก็ยังสามารถเอ็นจอยกับเรื่องนี้ได้ เส้นเรื่องอาจจะเบาบางและซ้ำๆ เดิมๆ อยู่หน่อย แต่ก็เป็นเสน่ห์และเอกลักษณ์ของหนังชุดนี้ ที่ภาคนี้ยังคงหยิบมาเซอร์วิสแฟนได้ดีอย่างน่าชมเชย และเชื่อว่าผู้ชมจะประทับใจหนังภาคนี้อยู่ไม่น้อยเลย…