The Divergent Series : ALLEGIANT | อัลลีเจนท์ ปฏิวัติสองโลก

 The Divergent Series : ALLEGIANT | อัลลีเจนท์ ปฏิวัติสองโลก เรื่องย่อ หลังโค่นล้มอำนาจของเจนีนได้เป็นผลสำเร็จ ส่งผลให้ เอเวลิน (Naomi Watts) ขึ้นปกครองเหล่าผู้คนที่อยู่ในชิคาโกอันรกร้างนั่นแทน แต่ความสงสัยที่มีไม่หายก็ส่งผลให้ทีมอัลลีเจนท์ที่มี ทริส (Shailene Woodley), โฟs (Theo James), เคเล็บ(Ansel Elgort) และปีเตอร์ (Miles Teller) หาหนทางหนีออกไปจากดินแดนที่ถูกก้กขัง บุกตะลุยปืนกำแพงสูงขึ้นไป… สิ่งที่อยู่นอกกำแพงคือดินแดนที่รกร้าง เต็มไปด้วยสารษ แม้แต่ฝนก็เป็นสีแดง แต่ไม่นานพวกเขาก็ได้ศูนย์วิจัยอีกแห่งที่ถูกกั้นไว้ด้วยกำแพงที่มองไม่เห็น ที่นั่น พวกเขาเหมือนดาราเพราะทุกคนที่นั่นรู้จักพวกเขา เฝ้าดูพวกเขาและมองเป็นเหมือนไอดอลทริสได้อยู่ที่นั่นอย่างผู้ที่ “สมบูรณ์” เธอได้รับเกียรติสูงส่งในขึ้นไปที่ชั้นบนสุด ขณะที่คนอื่นๆ กลายเป็นเพียงคนที่ “บกพร่อง”และได้รับหน้าที่ต่างๆ กัน และมีเพียงโฟร์ที่มองเห็นความไม่น่าไว้ใจของสถานที่แห่งนี้ รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ ALLEGIANT จริงๆ เราพูดมาตั้งแต่ภาค Divergentอ่านต่อ

Underworld: Blood Wars | มหาสงครามล้างพันธุ์อสูร

Underworld: Blood Wars | มหาสงครามล้างพันธุ์อสูร เรื่องย่อ สงครามยังไม่จบไม่สิ้น ในภาคนี้ ดูท่เหล่าไลแค่นจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม เมื่อมีผู้นำคนใหม่อย่าง แมเรียส (Tobias Menzies) ที่ก้าวขึ้นมาสร้างกองทัพเหล่ามนุษย์หมาป่าให้น่าเกรงขาม เป็นครั้งแรกที่เหล่าแวมไพร์กรึ่งเกรงว่าเผ่าพันธุ์ตัวเองสุ่มเสี่ยงจะถึงกาลอวสาน จนแวมไพร์ระดับผู้นำสาวอย่าง เซมีร่า (LaraPulver) ยังต้องขอสภาให้นำแวมไพร์ทรยศอย่าง เซลีน (Kate Beckinsale) กลับเข้าเผ่าอีกครั้งเพื่อช่วยฝึกเหล่าพลพรรคนักรบให้กล้าแกร่งพอจะต่อกรกับกองทัพไลแค่นได้ ในภาคนี้เซลีนต้องขึ้นเหนือไปเจอกับอากาศอันเหน็บหนาวเพื่อหาคำตอบให้กับบางสิ่งที่ค้างคาใจ ก่อนที่จะได้พบว่าการไปของเธอนำพาความเดือดร้อนให้ไปสู่ที่นั่นเสมอๆ ภาคนี้ยังคงมีหนุ่มหล่อเข้มอย่าง Theo James ผู้สวมบทบาทเป็นเดวิด บุตรชายแห่งโทมัส (Charles Dance) ผู้นำแวมไพร์ที่ อยู่มาตั้งแต่ภาคที่แล้ว เขากลายเป็นคนสนิทของเซลีน เป็นพันธมิตรเดียวที่เธอเหลืออยู่ รีวิวหนัง หลังจากให้วลากับตัวเองหนึ่งคืนกับการทบทวนความจำเรื่อง ‘UnderworId’ ในทุกภาคที่ผ่าน ก็ทำให้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดที่ เกิดขึ้นในภาคห้าได้ดีพอควร จนคิดว่า นี่ถ้เราไม่ได้ทบทวนมากวน เราคงจะจดจำได้แค่เซลีนมีลูกกับชายต่างเผ่าพันธุ์ได้แค่นั้น ส่วนวิคเตอร์ มาร์คัส และอมิเลียคือใครคงจะนไปสักพัก ทำให้ต้องยอมรับว่าถ้าศึกษาภาคเก่าหรือจำเรื่องราวต่างๆ ได้ก่อนจะมาดูอ่านต่อ

IO ผู้ยืนหยัดคนสุดท้าย

IO ผู้ยืนหยัดคนสุดท้าย : เมื่อโลกเป็นพิษ เธอเลยใช้ชีวิตแบบนักปรัชญา IO Last on Earth เป็นหนังไซไฟผลงานของ โจนาธาน เฮลเพิร์ต ซึ่งเติบโตมากับหนังสายยุโรปอย่างฝรั่งเศส และนี่เป็นหนังขนาดเรื่องที่ 2 ของเขาเท่านั้น ในขณะที่เรื่องแรกอย่าง House of Time (2015) ที่ฉายในฝรั่งเศสก็เป็นแนวไซไฟคอเมดี้ ซึ่งทำให้เห็นว่าตัวเขานั้นสนใจในหนังแนวไซไฟ หรือแฟนตาซีอยู่ไม่น้อย และสำหรับ IO ก็เป็นการบิดแนวหนังไซไฟมาเล่นเชิงดราม่าปรัชญาและการแสวงหาความหมายของชีวิตสุดท้ายบนโลก โดยอิทธิพลการเล่าเรื่องหลัก ๆ นั้นน่าจะมาจากหนึ่งในทีมเขียนบท และโปรดิวเซอร์ของหนัง อย่าง ชาร์ล สเปโน ที่เคยมีงานอย่าง Embers (2015) ซึ่งว่าด้วยโลกอนาคตที่ผู้คนต่างสูญเสียความทรงจำและผู้รอดชีวิตต่างแสวงหาความเชื่อมโยงกับโลกและผู้อื่น ด้วยเนื้อหาและลีลาการเล่าเชิงกวีปรัชญานั้นก็ไม่ต่างจาก IO เลยทีเดียว เรื่องย่อ : แซม คือนักวิทยาศาสตร์คนสุดท้ายบนโลก เนื่องจากโลกประสบปัญหามลพิษจนไม่เหลือสิ่งมีชีวิตใด ๆ ดำรงอยู่ได้อีก ประชากรโลกส่วนใหญ่เลือกเดินทางสู่อาณานิคมในอวกาศซึ่งตั้งอยู่แถวดวงจันทร์ไอโอของดาวพฤหัสบดี แต่แซมยังคงเชื่อว่าโลกยังมีความหวังที่จะฟื้นฟูได้อ่านต่อ

Alpha ผจญนรกแดนทมิฬ 20,000 ปี

Alpha เป็นเรื่องราว เคดา เด็กหนุ่มในยุค 20,000 ปีก่อนคริสตกาล ผู้กำลังก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และด้วยการที่พ่อของเขาเป็นผู้นำของเผ่าทำให้ความคาดหวังในตัวเขาของคนในเผ่านั้นจะมีเยอะเป็นพิเศษ แต่เด็กชายร่างผอมบางผู้นี้กลับเป็นคนที่ขี้กลัวและเห็นว่าชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อการออกล่าครั้งแรกเริ่มขึ้นเขาได้พลาดพลั้งพลัดตกจากเหว ผู้เป็นพ่อและคนในเผ่าต่างก็คิดว่า เคดาได้ตายไปแล้ว พวกเขาจึงเดินทางกลับบ้านอันแสนไกลพร้อมความโศกเศร้าโดยไร้เคดา เมื่อเด็กหนุ่มตื่นขึ้นและรู้ว่าตัวเองยังมีชีวิต การผจญภัยเพื่อเอาชีวิตรอดหาทางกลับบ้านจึงเริ่มขึ้น ต้องบอกก่อนว่าเรื่องนี้เป็นซับทั้งหมด เพราะว่าในเรื่องพูดเหมือนภาษาเผ่าอะไรสักอย่าง และหลายคนคงสงสัยว่าใช้สัตว์จริงในการถ่ายทำหรือเปล่า? สัตว์ใหญ๋หรือฉากอื่นๆ ก็มี CGI บ้าง จริงบ้าง แต่ที่จริงแท้แน่นอนคือหมาป่า Alpha ตัวเอกของเรื่องเนี่ยแหละ! ความดีงามโคตรๆ ของเรื่องนี้คือภาพ ด้วยความที่ดูใน IMAX 3D บอกได้เลยว่าทุกช็อต ทุกฉาก ภาพสวยมาก! มากถึงมากที่สุด สวยจนแบบถ้ามีแผ่นคุณสามารถกดพอสแล้วแคปมาทำเป็นภาพวอลเปเปอร์สวยๆ รูปนึงได้เลย และถ้านับทั้งเรื่อง คุณอาจจะได้หลายสิบภาพเลยทีเดียว การแสดงของทั้งสองถือว่าทำได้ดีมาก (คนกับหมา) ความสัมพันธ์ ความผูกพันของทั้งสอง ลงตัว ดูจริงมาก และทำให้เราเชื่อได้อย่างไม่ยากเลยทีเดียว ทั้งอบอุ่น ได้เสียงหัวเราะบ้าง และน่ารักมากๆ ตลอดเวลา 1อ่านต่อ

รีวิวหนัง "Skylines สกายไลน์ 3 สงครามถล่มจักรวาล"

 Skylines สกายไลน์ 3 สงครามถล่มจักรวาล กลับมาอีกครั้ง… เพื่อเติมเต็มเป็นหนังไตรภาคฉบับสมูบรณ์ หนังสงครามฝ่าฟันระหว่างมนุษย์กับเอเลี่ยนที่ไม่น่าเชื่อว่าจะยังคงเป็นหนังในแฟรนไชส์หนังแอคชั่นไซไฟนอกสายตาที่ยังคงได้ไปต่ออยู่ถึงปัจจุบัน เรากำลังพูดถึง “Skylines สกายไลน์ 3 สงครามถล่มจักรวาล” ที่วางตัวเป็นหนังมหาสงครามจักรวาลที่ใช้ทุนน้อยๆ แต่เน้นฮุกหมัดใส่หนักๆ แต่ภาคนี้จะยังคงไปต่อไหวหรือไม่…? ก่อนอื่นคงจะต้องสารภาพกับผู้อ่านก่อนว่า หนังไตรภาคชุด Skyline เรื่องนี้ จำได้ว่าเคยดูภาคแรกที่ออกฉายในปี 2010 ตอนนั้นยังเป็นแค่หนังเอเลี่ยนบุกโลกธรรมดาๆ ที่ใช้ทุนไม่เยอะแต่งานสร้างออกมาค่อนข้างน่าพอใจ แม้ว่าตัวหนังจะไม่ได้ดิบดีอะไรเลย เพราะดังนั้นเมื่อภาคที่ 2 ตามออกมาใน 6-7 ปีถัดมา ยอมรับว่าไม่เคยดูภาคนี้มาก่อน แต่ดันข้ามมาดูภาคที่ 3 เลย แต่ทั้งนี้ก็พอจะได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับสรรพคุณในภาคที่แล้วมาพอประมาณ ดังนั้นจึงจะขอยกเว้นไม่นำหนังในแต่ละภาคมาเปรียบเทียบกัน บทวิจารณ์หนังในครั้งนี้จะเน้นเฉพาะเรื่องราวที่เกิดขึ้นใน สกายไลน์ 3 ภาคนี้เพียงเท่านั้น ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมานั้นก็ถือว่าไม่ดี แต่ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ ตามประสาหนังแอคชั่นไซไฟที่ไม่ใช่มีทุนสร้างซับพอร์ตอะไรมากมายนัก หนังเปิดฉากมาด้วยการเล่าย้อนสรุปใจความคร่าวๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคที่ 2 ในจุดนี้ถือว่าเป็นส่วนที่น่าพอใจ สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามหรือดูภาคที่แล้วมาก่อน เป็นการเล่าเหตุการณ์แบบย่อๆ ไม่ลงรายละเอียดมาก และยังเป็นการแนะนำตัวละครเอาไว้ในเบื้องต้นด้วย แน่นอนตัวละครหลักอย่าง ‘กัปตันโรส’อ่านต่อ

รีวิว แมด แม็กซ์: ถนนโลกันตร์ | Mad Max: Fury Road

Mad Max เป็นหนังที่สร้างมาจากวิกฤตการณ์น้ำมันปี ค.ศ.1973 ที่กระทบทั้งการเมืองและเศรษฐกิจของนานาประเทศ จนมาถึงภาคนี้ จากโลก post-apocalyptic ในไตรภาคเดิม ที่ว่าแย่แล้ว โลกของ Mad Max: Fury Road เป็นอะไรที่หนักและน่ากลัวกว่ามาก แม้ไม่ได้ระบุวันเวลาและสถานที่ชัดเจน สิ่งนึงที่หนังภาคนี้บอกคือการเซ็ตให้อยู่ในโลก post-apocalyptic wasteland ที่สงครามนิวเคลียร์ได้ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ล้มหายตายจากไปจนแทบไม่เหลือ มองไปทางไหนก็มีแต่ฝุ่นแต่ทราย ไร้สิ่งปลูกสร้างที่คุ้นตา แห้งแล้งแบบที่ดูแล้วต้องอยากดื่มน้ำตลอดเวลา และน้ำมันกับยานพาหนะเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งชีพ หรือเยี่ยงชีพ ภายใต้โทนภาพ colorful แม้สภาพแวดล้อมจะดูโหดร้าย การเคลื่อนกล้อง การแสดง และแอ็กชั่นที่สื่อถึงความดิบเถื่อนป่าเถื่อนออกมาได้เข้ากับคอนเซ็ปต์ของหนังเป็นอย่างดี Mad Max: Fury Road ไม่ใช่แค่หนังดูเอามัน แต่ทำให้เราได้ฉุกคิดถึงอะไรหลายๆ อย่าง เช่นผลกระทบจากการทำสงครามแก่งแย่งชิงดีจนนำมาสู่จุดจบมนุษยชาติ โลกที่เราใช้ทรัพยากรจนหมดไม่เหลือ โลกที่ร้อนระอุเพราะชั้นบรรยากาศพังทลาย โลกที่ไม่มีต้นไม้อีกแล้ว โลกที่ไม่น่าอยู่อีกต่อไป รวมไปถึงโลกไร้อารยธรรมที่ผู้ปกครองด้วยกำลังและความกลัวได้ดี ทำให้เมื่อมองกลับมาดูโลกของเราตอนนี้แล้ว แม้จะน่าอยู่น้อยลงเรื่อยๆ ก็จริง แต่อดไม่ได้ที่จะเอามันมากอด ทะนุถนอมอ่านต่อ

Against the Ice (2022)

ภาพยนตร์ มหันตภัยเยือกแข็ง Against The Ice (2022) จาก Netflix สร้างจากเรื่องจริงของของ 2 นักสำรวจเดนมาร์กที่ออกเดินทางเพื่อสำรวจดินแดนใหม่ในกรีนแลนด์ ในปี 1909 ช่วงเวลาเดียวกับเรือไททานิค นำแสดงโดย นิโคไล คอสเตอร์-วัลดาอู และ โจโคล จะสนุก ลุ้นระทึกมากแค่ไหนอ่านรีวิวได้ที่ด้านล่างเลยครัช เรื่องย่อ เมื่อทีมสำรวจเดนมาร์กของกัปตันไอจ์นาร์ มิคเคลเซน ได้พบบันทึกของทีมสำรวจเดนมาร์กที่หายสาญสูญไปก่อนหน้าจากศพของนักสำรวจ กัปตันไอจ์นาร์ จึงวางแผนที่จะออกสำรวจต่อและตามหาหินแคร์นที่ทีมสูญหายสร้างไว้ เพื่อนำเอกสารที่พวกสูญหายค้นพบกลับมา ทว่าในทีมของเขาไม่มีใครอาสาไปเป็นเพื่อนเขาเลย เพราะทุกคนรู้ว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะไม่รอดชีวิตกลับมา มีเพียงอีวาร์ อีวาร์เซน ช่างยนต์ที่ขึ้นเรือกลางทางเท่านั้นที่อาสาว่าจะไปสำรวจกับเขา หลังจากนัดแนะกับคนที่เหลือว่าจะกลับมาในเดือนสิงหา กัปตันและอีวาร์ก็ได้ออกเดินทางโดยใช้สุนัขลากเลื่อนในวันที่ 1 มีนาคม ปี 1910 ซึ่งระหว่างทางก็มีอุปสรรคทั้งความหนาวเย็น เส้นทางการเดินทางที่ยากลำบาก และเสบียงที่หมดลงทุกวัน แต่ในที่สุดพวกเขาก็ไปถึงหินแคร์นของทีมที่สูญหายและพบบันทึกบอกเล่าว่า เพียรี่แลนด์ ไม่ใช่เกาะ แต่เป็นดินแดนส่วนหนึ่งของกรีนแลนด์ ที่อเมริกันไม่มีสิทธิ์เข้ายึดครอง เป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อพวกเขาเดินทางกลับมาถึงเรือที่นัดแนะกับทีมไว้ก่อนหน้าในเดือนกรกฎาคม กลับพบว่าเรือถูกแยกส่วนมาสร้างเป็นกระท่อมและคนที่เหลือได้ทิ้งพวกเขาไปแล้วอ่านต่อ

The Imperfects   ดิ อิมเพอร์เฟคส์ เรื่องสร้างใหม่แต่ก็พยายามให้อารมณ์เป็นการ์ตูนคอมมิคหน่อยๆ อย่างพระเอกในเรื่องก็เป็นนักวาดการ์ตูนฮีโร่ ในเรื่องก็พยายามผลักดันประเด็นฮีโร่อยู่หลายครั้ง ไม่ใช่แนวสัตว์ประหลาดแบบแวนเฮลซิ่ง แต่เป็นการฉีกออกไปในแนวคิดว่า ถ้าคนเรามีพลังพิเศษที่มีความผิดปกติกับร่างกายหรือทำให้ใช้ชีวิตลำบาก ความคิดแบบฉันได้ความพิเศษนั้นมาแล้วเป็นฮีโร่ยังมีอยู่ไหม? ในเรื่องนี้ตัวละครทุกตัวจึงมีปัญหาความบกพร่องในการใช้ชีวิตหลังมีพลังพิเศษกันทุกคน อย่าง ฮวน พระเอกที่กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดกินสัตว์เล็ก กินคนเป็นอาหารโดยไม่รู้ตัว ทิลด้าสาวผู้ได้ยินเสียงเล็กๆ น้อยๆ ตลอดเวลาในหัวจนต้องใส่ที่ครอบหูกันเสียงไว้ แอบบี้ สาวนักเรียนวิทย์ที่มีฟีโรโมนจากเหงื่อดึงดูดให้คนที่สูดเข้าไปหลงไหลคลั่งเธอในทันที ซึ่งความพิเศษพวกนี้กลายเป็นปัญหาในชีวิตฉับพลันหลังขาดยาที่กินมานาน ตัวเรื่องทำช่วงแรกให้เรารู้สึกว่ามองมุมพลังพิเศษแนวฮีโร่เปลี่ยนไปใช้ได้เลย และก็ยังมีตัวละครอื่นที่มีพลังพิเศษแล้วพยายามทำตัวเป็นฮีโร่อยู่ด้วย แต่เรื่องก็นำเสนอให้เห็นว่าความคิดฉันมีพลังแล้วออกไปช่วยผู้คน บางทีมันก็ไม่ใช่ความคิดที่ดูเก๋เท่อะไรนักหรอก กลับกันมันดันรู้สึกเหมือนพวกวอนนาบีอยากเด่นอยากดังซะมากกว่า ทำความดี ทำไมต้องโชว์อะไรประมาณนี้ ซึ่งซีรีส์ดำเนินเรื่องไปแบบทำให้เราคล้อยตามได้เลย และยิ่งเรื่องปูไว้แบบไม่มีวายร้ายชัดเจนในเรื่องช่วงแรกด้วย เป็นการออกเดินทางตามหานักวิทยาศาสตร์ที่ให้ยาเขาแล้วหายตัวไป โดยมีนักวิทย์สาวคู่หูของเขาที่คอยช่วยเหลือพวกเขาอยู่ด้วย ทำให้ประเด็นการดำเนินเรื่องแบบไม่ต้องไปสู้รบปรบมืออะไรกับใคร แค่ปัญหาชีวิตพวกเขาเองก็มากพอทำให้ชีวิตลำบากอยู่แล้วดูหนักแน่นขึ้นมาจริงๆ แล้วก็ทำออกมาได้ค่อนข้างฉีกน่าสนใจติดตามดูต่อเนื่อง แต่หลังเรื่องผ่านไปครึ่งซีซั่น ตัวเรื่องพยายามวกกลับมาประเด็นการมีพลังฮีโร่เพื่อปราบวายร้ายเพื่อช่วยโลกแบบชัดเจน โดยให้ตัวเอกทั้ง 3 ค่อยๆ มีพัฒนาการของพลังต่อยอดไปได้เรื่อยๆ จนแทบจะไม่เป็นปัญหาอะไรกับชีวิตแบบไม่ต้องมียาแก้ก็อยู่กันได้ และยังใช้พลังได้ตามใจอีกต่างหาก ตัวเรื่องก็พยายามใส่วายร้ายเข้ามาหลายตัวทั้งองค์กรลับของรัฐที่คอยตามล่าพวกกลายพันธ์แบบพวกเขา มีสัตว์ประหลาดที่ออกไล่ฆ่าคนให้เขาต้องไปช่วย มีการหักหลังพลิกให้ตัวดีเป็นตัวร้ายขึ้นมาอะไรแบบนี้ ทำให้ซีรีส์ช่วงหลังกลายเป็นเหมือนแนวซูเปอร์ฮีโร่ธรรมดาทั่วไปมากๆ แล้วเรื่องก็ทำมาแนวขำๆอ่านต่อ

Artemis Fowl อาร์ทิมิส ฟาวล์ Artemis Fowl (ผจญภัยสายลับใต้พิภพ) ภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์แฟนตาซีผจญภัย ดัดแปลงจาก อาร์ทิมิส ฟาวล์ นิยายชุดในชื่อเดียวกันในปี 2001 โดยนักเขียนชาวไอริช ออย โคลเฟอร์ ที่ฉายไปแล้วยกเว้นประเทศไทยตั้งแต่ปีก่อน และโดนคำวิจารณ์ในแง่ลบอย่างยับเยินโดยเฉพาะกับคนที่อ่านหนังสือมาแล้วถึงการปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องบางส่วน และเป็นภาพยนตร์ที่ถูกโยกย้ายจากโรงภาพยนตร์มาลงในดิสนีย์พลัสอีกด้วย เรื่องราวของอาร์ทิมิส ฟาวล์นั้นบอกเล่าถึงมหาสงครามระหว่างมนุษย์ แฟร์รี่ และพิกซี่ผ่านตัวละครของอาร์ทิมิส ฟาวล์ที่ 2 เด็กหนุ่มผู้ฉลาดเกินวัยที่ครอบครัวนั้นเป็นจ้าวแห่งอาชญากรรมที่ชั่วร้าย และดูเหมือนว่าการหายตัวไปของพ่อเขาบีบบังคับให้อาร์ทิมิส ฟาวล์โอบรับมรดก ของครอบครัวด้วยการลักพาตัวกัปตันฮอลลี่ ชอท แฟร์รี่สาวอายุเกือบร้อยปีที่บังเอิญมาอยู่ในพื้นที่ของคฤหาสน์ของเขา ก่อนจะพบความลับครั้งยิ่งใหญ่ที่สามารถทำลายโลกทั้งใบได้ ทำให้เขาต้องกลายเป็นจอมวายร้ายเพื่อต่อกรกับเหล่าศัตรูที่หวังเข้ามาทำลายชีวิตเขาและคนรอบตัว โดยหนังสือชุดนี้ได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกว่าเป็น ดายฮาร์ด ผสม แฮร์รี่พอตเตอร์ จนมีค่ายหนังมากมายสนใจที่จะดัดแปลงนิยายชุดนี้ให้เป็นภาพยนตร์แต่ก็ต้องพบกับปัญหามากมายจนในที่สุดดิสนีย์ก็รับไม้ต่อปลุกชีพภาพยนตร์โดยได้ผู้กำกับมือฉมังอย่าง เคนเนธ บรานาห์ ที่ฝากผลงานมาแล้วในทุกด้าน ทั้งหนังซูเปอร์ฮีโร่อย่าง ธอร์: เทพเจ้าสายฟ้า, หนังแอ็คชั่นอย่าง แจ็ค ไรอัน: สายลับไร้เงา หนังเจ้าหญิงดิสนีย์ทำเงินสูงอย่าง ซินเดอเรลล่าอ่านต่อ

The Kid Who Would Be King – หนุ่มน้อยสู่จอมราชันย์ ชีวิตลูสเซอร์ของ อเล็กซ์ (หลุยส์ แอชบอร์น เซอร์คิส) หนุ่มน้อยตุ้ยนุ้ยกำลังจะเปลี่ยนไป หลังดึงดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ออกจากศิลาในไซต์ก่อสร้าง ทำให้มอร์กานา (รีเบคกา เฟอร์กูสัน) แม่มดร้ายกลับคืนสู่โลกหวังแย่งชิงดาบและสังหารกษัตริย์องค์ใหม่ งานนี้ อเล็กซ์จึงต้องร่วมพลังทั้ง เมอร์ลิน (แองกัส อิมรี) พ่อมดวิเศษที่แฝงตัวมาในคราบเด็กวัยรุ่น, เบดเดอส์ (ดีน เชามู) เพื่อนสนิทขี้กลัวของอเล็กซ์, แลนซ์ (ทอม เทย์เลอร์) และ เคย์ (เรียอานา ดอริส) หัวโจกที่เคยแกล้งอเล็กซ์ทุกวัน เพื่อหยุดยั้งหายนะทำลายโลกจากแม่มดผู้ชั่วร้าย บอกตามตรงว่านี่คือหนังอันมีองค์ประกอบให้เรายี้ได้ทุกอย่างตั้งแต่ชื่อเรื่องที่ ทื่อมะลื่อได้อี๊ก! อะไรเข้าฝันให้เอาประโยคเฉิ่มเชยอย่าง The Kid Who Would Be King เด็กที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ เนี่ยนะ! แต่พอได้เห็นชื่อผู้กำกับอย่างอ่านต่อ