รีวิวภาพยนต์ Oxygen | ออกซิเจน 2021 🥶

Oxygen | ออกซิเจน 2021 แน่นอนว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับหนังไซไฟที่ใช้ข้อจำกัดด้านพื้นที่ เวลา ความเสี่ยงอันตราย หรือทรัพยากรที่กำลังใกล้จะหมดมาเป็น Conflict ของเนื้อหากันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะยิ่งถ้าตัวละครถูกโดดเดี่ยวอยู่ในพื้นที่ที่ถูกจำกัดนี่เรียกได้ว่าเยอะมาก ๆ เลยครับ ถ้าว่ากันตั้งแต่ระดับตำนานรุ่นปู่ก็ ‘2001: A Space Odyssey’ (1968) หรือเอาใหม่ ๆ หน่อยก็ ‘Moon’ (2009) และ ‘Gravity’ (2013) ที่ว่าด้วยคนที่ต้องพยายามเอาตัวรอดในสถานการณ์โดดเดี่ยวเพื่อเอาชีวิตรอดจากข้อจำกัด และพิษภัยของความอันตรายที่คาดเดาไม่ได้จากภายนอก รวมถึงเทคโนโลยีที่มีความฉลาดซะจนไม่อาจไว้วางใจได้ว่ามันจะช่วยเรา หรือจะมุ่งร้ายทำลายเรากันแน่ เรื่องย่อ เล่าถึง หญิงสาว ที่ฟื้นขึ้นมาในแคปซูล แถมยังจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่ชื่อของตัวเองและเธอมาอยู่ที่นี้ได้อย่างไร ไหนจะพอฟื้นขึ้นมาก็ต้องหาทางออกจากแคปซูลเพื่อเอาชีวิตรอดเพราะออกซิเจนที่ช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตกำลังจะหมดลงในไม่ช้า! ตื่นขึ้นมาอย่าง งง ๆ แล้วยังต้อง เอาชีวิตรอดแบบงง ๆ อีก (โคตรซวย) ถึงแม้จะดูโชคร้าย แต่ยังดีที่ในแคปซูลมีระบบ AI ค่อยให้ความช่วยเหลือ เธอจะเอาชีวิตรอดออกจากแคปซูลและหาคำตอบของเรื่องราวทั้งหมดว่าเธอเป็นใครได้หรือไม่ต้องไปรับชมกันเลยค่าอ่านต่อ

INFINITE | อินฟินิท

INFINITE | อินฟินิท เนื้อเรื่องจะบอกเล่าเรื่องราวของชายหนุ่มที่มีชื่อว่า “เอแวน แมคคอลีย์” ที่เขานั้นได้รู้ความจริงว่าไม่ใช่มีเพียงเขาเท่านั้นที่มีความสามารถในการระลึกชาติได้แต่ยังมีองค์กรที่ได้รวบรวมคนที่มีความสามารถแบบเขาไว้ด้วยกันอยู่ และทั้งหมดนั้นต้องใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดนั้นมาช่วยเหลือโลกจากองค์กรลับอีกหนึ่งองค์กรที่ต้องการจะล้างชีวิตคนบนโลก รีวิว Infinite (2021) ที่คอหนังไม่ควรพลาด ! อินฟินิต หนังแอ็คชั่น Sci-Fi ดักแปลง หนังฝรั่ง หนังใหม่ 2021 เนื้อเรื่องจะมีการนำเสนอแนวคิดของการกลับชาติมาเกิดผ่านภาพแบบเป็นเรื่องที่น่าทึ่งและพร้อมกับตัวละครที่มีรากฐานดีที่เขานั้นต้องใช้ความทรงจำพร้อมกับทักษะที่ได้เรียนรู้ จากนั้น Infiniteก็พุ่งไปข้างหน้าสู่ชีวิตของ Evan MaCauley (Mark Wahlberg ซึ่งตระหนักดีว่าโครงเรื่องไร้สาระเพียงใดและขัดขวางมันโดยสิ้นเชิง) ช่างทำอาวุธในนครนิวยอร์กที่โชคดีของเขา ใช่ จริง ๆ แล้วเขาสร้างดาบขึ้นมาจากความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตชาวเอเชียในอดีต เขาไม่ค่อยแน่ใจว่าทำไมถึงโผล่มาในหัว เขาจึงขายให้พ่อค้ายาเพื่อแลกกับยารักษาโรคจิตเภทที่เขาไม่สามารถจ่ายได้) ฉันไม่ได้ล้อเล่น; ฉันรับรองว่าฉันดูหนังอย่างมีสติ อย่างไรก็ตาม Evan ไม่มีงานทำเพราะขาดความพยายาม ดังที่เราเห็นเขาให้สัมภาษณ์ในตำแหน่งร้านอาหารและปฏิเสธเพราะมีประวัติการใช้ความรุนแรงและพักรักษาตัวในหอผู้ป่วยจิตเวชเป็นเวลาสองสัปดาห์เพื่อแกะสลัก “มองเข้าไปข้างใน” ทั่วตัวเขา ผิวหนัง (ธงสีแดงขนาดใหญ่ที่ภาพยนตร์ไม่สนใจเรื่องสุขภาพจิตและใช้ประโยชน์จากการเล่าเรื่องที่โง่เขลา) ไปก่อนแล้วในอดีตเพื่อให้แน่ใจได้ว่าอนาคตจะได้รับการปกป้องจาก Infinites ที่มีความพยายามจะล้างเผ่าพันธุ์สื่งมีชีวิตทั้งหมดบนดาวเคราะห์ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรติดตามต่อได้ใน ดูหนังออนไลน์ Infinite (2021) เต็มเรื่องอ่านต่อ

Black Box | จิตหลอนซ่อนลึกอยู่ใต้จิตสำนึก

Black Box | จิตหลอนซ่อนลึกอยู่ใต้จิตสำนึก หนังใหม่แนวทริลเลอร์ไซไฟของ Blumhouse ซึ่งในเดือนตุลาคมนี้ทางค่ายนี้ร่วมกับ Amazon Prime จัดหนังแนวทริลเลอร์สยองขวัญมาลงด้วยกัน 4 เรื่องต้อนรับฮาโลวีน ซึ่งตอนนี้ออกมาแล้วสองเรื่อง The Lie กับ Black Box ที่อยู่ในรีวิวนี้ เรื่องราวของหนุ่มผู้สูญเสียความจำไปและพยายามหาทางรักษา ผ่านการดำดิ่งลงไปในจิตใต้สำนึกค้นหาความทรงจำ จนไปเจอกับเรื่องลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายในจิตของตัวเอง เนื้อเรื่องหลังจากนี้คือตัวตนจริงๆ ของหนัง ซึ่งเป็นอะไรที่ล้ำพอควรเลยกับแนวคิดในเรื่องนี้ แม้ไม่ได้แปลกใหม่ แต่ก็เป็นอะไรที่น่าคิดว่าถ้าเกิดขึ้นได้จริงๆ คนๆ นั้นจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แบบไหน ยังไง หนังทำให้เราชวนคิดว่าตัวพระเอกจะเลือกทางไหนหลังรู้ความจริงทั้งหมดว่าตัวเองคืออะไร และก็ดูจะหาทางออกให้เรื่องยากอยู่เหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่บทช่วงนี้กลับไม่ลึก และก็เล่นง่ายไปนิดแบบรีบๆ ให้จบเรื่องปัญหาที่ค้างไว้ เพื่อจะมาต่อกันที่เรื่องความลับสุดท้ายที่ค้างอยู่ในจิตใต้สำนึกอีกครั้ง ซึ่งพอมาถึงตรงนี้เชื่อว่าคนดูเดากันได้แล้วว่าเจ้าสิ่งนั้นที่ไล่ตามพระเอกคืออะไร และก็แทบจะรู้ตอนจบแล้วว่าเรื่องจะออกมารูปแบบไหน ทำให้ไคลแม็กซ์ตอนท้ายดูเบาไปเลย ก่อนที่จะไปหยอดปิดท้ายเรื่องไว้อีกนิดว่าทำภาคต่อได้ ซึ่งน่าเสียดายจริงๆ ที่ตัวหนังน่าจะเมีอะไรมากกว่านี้ ทั้งๆ ที่วัตถุดิบองค์ประกอบพร้อมหมดแล้วแท้ๆ แต่ถึงยังไงก็ยังถือว่าเป็นหนังที่โอเคเลย ไม่เสียดายเวลาดู และก็มีอะไรให้แปลกใหม่อยู่นิดๆ เหมือนกัน ตามประสาค่าย Blumhouseอ่านต่อ

Gemini Man : เจมิไน แมน

Gemini Man : เจมิไน แมน Gemini Man 2019 (เจมิไน แมน) เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นสุดมัน ที่กำกับโดย Ang Lee และแสดงนำโดย Will Smith รับบท เฮนรี่ โบรแกน นักฆ่ามือฉกาจของหน่วยงานลับ ที่ต้องการเกษียณราชการไปใช้ชีวิตอย่างสงบ หลังจากที่เขาได้ฆ่าคนให้องค์กรมาแล้วมากมาย แต่ในครั้งสุดท้ายเฮนรี่ได้รู้จากปากของเพื่อนว่า เขาถูกหลอกให้ฆ่าคนบริสุทธิ์ ทำให้เขาต้องค้นหาความจริง และทำให้ตัวเขาเองรวมทั้งคนใกล้ชิดก็ต้องถูกตามล่าเพื่อปิดปาก เรื่องย่อ : ความฝันในการใช้ชีวิตสงบหลังเกษียณของมือสไนเปอร์อย่าง เฮนรี โบรแกน (วิล สมิธ) กลับจบลงด้วยการถูกตามฆ่าจาก เคลย์ เวอริส (ไคล์ฟ โอเวน) เพื่อนเก่าที่กลายเป็นเจ้าของโพรเจกต์เจมิไน โครงการโคลนนิงมือสังหารระดับพระกาฬที่ส่งศัตรูตัวฉกาจอย่าง จูเนียร์ (วิล สมิธ) นักฆ่าฝาแฝดวัยหนุ่มที่สร้างจากดีเอ็นเอของเฮนรี เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่รู้จักตัวเองดีทุกกระเบียดนิ้ว เฮนรีจำต้องเอาชีวิตรอดพร้อมกับช่วยชีวิตของ แดนนี (แมรี อลิซาเบธอ่านต่อ

IO ผู้ยืนหยัดคนสุดท้าย

IO ผู้ยืนหยัดคนสุดท้าย : เมื่อโลกเป็นพิษ เธอเลยใช้ชีวิตแบบนักปรัชญา IO Last on Earth เป็นหนังไซไฟผลงานของ โจนาธาน เฮลเพิร์ต ซึ่งเติบโตมากับหนังสายยุโรปอย่างฝรั่งเศส และนี่เป็นหนังขนาดเรื่องที่ 2 ของเขาเท่านั้น ในขณะที่เรื่องแรกอย่าง House of Time (2015) ที่ฉายในฝรั่งเศสก็เป็นแนวไซไฟคอเมดี้ ซึ่งทำให้เห็นว่าตัวเขานั้นสนใจในหนังแนวไซไฟ หรือแฟนตาซีอยู่ไม่น้อย และสำหรับ IO ก็เป็นการบิดแนวหนังไซไฟมาเล่นเชิงดราม่าปรัชญาและการแสวงหาความหมายของชีวิตสุดท้ายบนโลก โดยอิทธิพลการเล่าเรื่องหลัก ๆ นั้นน่าจะมาจากหนึ่งในทีมเขียนบท และโปรดิวเซอร์ของหนัง อย่าง ชาร์ล สเปโน ที่เคยมีงานอย่าง Embers (2015) ซึ่งว่าด้วยโลกอนาคตที่ผู้คนต่างสูญเสียความทรงจำและผู้รอดชีวิตต่างแสวงหาความเชื่อมโยงกับโลกและผู้อื่น ด้วยเนื้อหาและลีลาการเล่าเชิงกวีปรัชญานั้นก็ไม่ต่างจาก IO เลยทีเดียว เรื่องย่อ : แซม คือนักวิทยาศาสตร์คนสุดท้ายบนโลก เนื่องจากโลกประสบปัญหามลพิษจนไม่เหลือสิ่งมีชีวิตใด ๆ ดำรงอยู่ได้อีก ประชากรโลกส่วนใหญ่เลือกเดินทางสู่อาณานิคมในอวกาศซึ่งตั้งอยู่แถวดวงจันทร์ไอโอของดาวพฤหัสบดี แต่แซมยังคงเชื่อว่าโลกยังมีความหวังที่จะฟื้นฟูได้อ่านต่อ

รีวิวหนัง "Skylines สกายไลน์ 3 สงครามถล่มจักรวาล"

 Skylines สกายไลน์ 3 สงครามถล่มจักรวาล กลับมาอีกครั้ง… เพื่อเติมเต็มเป็นหนังไตรภาคฉบับสมูบรณ์ หนังสงครามฝ่าฟันระหว่างมนุษย์กับเอเลี่ยนที่ไม่น่าเชื่อว่าจะยังคงเป็นหนังในแฟรนไชส์หนังแอคชั่นไซไฟนอกสายตาที่ยังคงได้ไปต่ออยู่ถึงปัจจุบัน เรากำลังพูดถึง “Skylines สกายไลน์ 3 สงครามถล่มจักรวาล” ที่วางตัวเป็นหนังมหาสงครามจักรวาลที่ใช้ทุนน้อยๆ แต่เน้นฮุกหมัดใส่หนักๆ แต่ภาคนี้จะยังคงไปต่อไหวหรือไม่…? ก่อนอื่นคงจะต้องสารภาพกับผู้อ่านก่อนว่า หนังไตรภาคชุด Skyline เรื่องนี้ จำได้ว่าเคยดูภาคแรกที่ออกฉายในปี 2010 ตอนนั้นยังเป็นแค่หนังเอเลี่ยนบุกโลกธรรมดาๆ ที่ใช้ทุนไม่เยอะแต่งานสร้างออกมาค่อนข้างน่าพอใจ แม้ว่าตัวหนังจะไม่ได้ดิบดีอะไรเลย เพราะดังนั้นเมื่อภาคที่ 2 ตามออกมาใน 6-7 ปีถัดมา ยอมรับว่าไม่เคยดูภาคนี้มาก่อน แต่ดันข้ามมาดูภาคที่ 3 เลย แต่ทั้งนี้ก็พอจะได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับสรรพคุณในภาคที่แล้วมาพอประมาณ ดังนั้นจึงจะขอยกเว้นไม่นำหนังในแต่ละภาคมาเปรียบเทียบกัน บทวิจารณ์หนังในครั้งนี้จะเน้นเฉพาะเรื่องราวที่เกิดขึ้นใน สกายไลน์ 3 ภาคนี้เพียงเท่านั้น ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมานั้นก็ถือว่าไม่ดี แต่ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ ตามประสาหนังแอคชั่นไซไฟที่ไม่ใช่มีทุนสร้างซับพอร์ตอะไรมากมายนัก หนังเปิดฉากมาด้วยการเล่าย้อนสรุปใจความคร่าวๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคที่ 2 ในจุดนี้ถือว่าเป็นส่วนที่น่าพอใจ สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามหรือดูภาคที่แล้วมาก่อน เป็นการเล่าเหตุการณ์แบบย่อๆ ไม่ลงรายละเอียดมาก และยังเป็นการแนะนำตัวละครเอาไว้ในเบื้องต้นด้วย แน่นอนตัวละครหลักอย่าง ‘กัปตันโรส’อ่านต่อ

รีวิว "The Adam Project" (ย้อนเวลาหาอดัม) 

เป็นหนังที่รู้สึกได้ว่าไม่ต้องคาดหวังอะไรก็ได้ เพราะมันน่าจะตอบโจทย์ผู้ชมได้ดี เพราะนี่คือการกลับมาจับมือกันอีกครั้งของ “ไรอัน เรย์โนลด์ส” กับผู้กำกับ “ชอว์น เลวี่” ที่พวกเขาเพิ่งจะผนึกกำลังความปังมาหมาดๆ ใน “Free Guy” และเขาทั้งคู่ก็มาปลุกปั้นโครงการใหม่อีกครั้งใน “The Adam Project” (ย้อนเวลาหาอดัม) หนังแอคชั่นผจญภัยไซไฟเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลาที่เหนือจินตนาการ แม้ว่าโครงเรื่องจะมาในแนวสูตรสำเร็จที่ไม่ต้องคิดมาก แต่ก็สนุกเพลินได้ดีทั้งเรื่อง โดยเฉพาะแค่ทีมนักแสดงก็เอาอยู่! The Adam Project เป็นเรื่องราวของ อดัม รี้ด เด็กชายวัย 12 ที่เพิ่งจะเผชิญหน้ากับความสูญเสียพ่อที่เพิ่งจากไป แต่ปรากฏว่าเขาได้พบกับชายปริศนาในชุดนักปริศนาโผล่มาอยู่ที่สวนหลังบ้าน เขามีท่าทีคุ้นเคยกับบ้านและตัวเขาเป็นอย่างดี ก่อนจะพบว่าชายคนนั้นก็คือเขาที่เดินทางข้ามเวลามาจากอนาคต และเขาคนนั้นกลับมาเพื่อภารกิจเพื่อยับยั้งปฏิบัติการอดัมที่กำลังจะส่งผลกระทบและเป็นหายนะของมวลมนุษยชาติในภายภาคหน้า ก็อย่างที่บอกว่านี่เป็นอีกครั้งที่เป็นการผนึกกำลังกันระหว่าง ไรอัน เรย์โนลด์ส กับ ชอว์น เลวี่ ผู้ที่มากด้วยพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์หนังที่สอดแทรกความตลกโปกฮาได้อย่างมีอินเนอร์และจังหวะที่ดี และนี่น่าจะเป็นกลับมาร่วมงานของพวกเขาที่น่าจะต่อเนื่องจาก Free Guy และดูเหมือนการทำงานก็ยังคงเข้าขากันได้เป็นอย่างดี แม้ว่าความตื่นตาตื่นใจด้วยเทคนิคพิเศษต่างๆ ในหนังเรื่องนี้จะน้อยกว่าเรื่องก่อนไปสักหน่อย แต่ก็ยังคงความสนุกเอาไว้ได้ หนังได้วางพื้นฐานเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลามาเป็นตัวชูโรง ทำให้มีกลิ่นอายความเป็นหนังคลาสสิกอย่าง “Back to the Future” โชยมาเรื่อยๆ แต่มันก็ถูกพัฒนาการและขัดเกลาบทหนังออกมาให้ดูน่าสนใจอ่านต่อ

รีวิว โปรเจคท์ พาวเวอร์ พลังลับพลังฮีโร่ | Project Power (2020)

โดยทั่วไปของหนังซูเปอร์ฮีโร่ก็มักจะให้โอกาสกับคนเพียงไม่กี่คนที่จะได้รับพลังบางอย่างมาโดยบังเอิญบ้าง ตั้งใจบ้าง แต่ครั้งนี้ การเป็นซูเปอร์ฮีโร่จะง่ายดายขึ้นกว่าเดิม สไตล์ “ใครๆ ก็เป็นฮีโร่ได้” ด้วยการกระเดือกยาเม็ดแคปซูลที่จะทำให้ผู้กินมีพลังวิเศษได้ 5 นาที ภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่มีฉายบนแพล็ตฟอร์มออนไลน์ทาง Netflix หนังที่เป็นทั้งไซไฟและแอคชัน ผสานความเป็นหนังอาชญากรรม เมื่อบางคนต้องการทำธุรกิจใหม่ และยาที่ขายไม่ใช่ยาบ้าแต่เป็นยาที่ทำให้มีพลังพิเศษ มันเป็นเรื่องราวของคนกลุ่มหนึ่งที่ขนผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่เข้ามาทางเรือ ก่อนจะส่งมาให้คนอีกกลุ่มหนึ่งแบบฟรีๆ สิ่งนั้นคือ เม็ดยาที่มนุษย์ผู้ใดกินเข้าไปแล้วจะมีพลังเหมือนซูเปอร์ฮีโร่ได้ 5 นาที พอปล่อยของแล้วพวกเขาก็จากไป แต่แท้จริงพวกเขามีนัยยะแอบแฝงอยู่ ผลจากการมียาชนิดนี้อยู่ในตลาด มันได้ก่อให้เกิดธุรกิจขายยา (ที่ไม่ใช่ยาเสพติดแต่เป็นยาพาวเวอร์) โรบิน (Dominique Fishback/โดมินิค ฟิชแบก จากผลงานหนัง ‘The Hate U Give’) เด็กหญิงผิวสีคลั่งไคล้ในการร้องเพลงแร็ปที่มีแม่ป่วยและจำเป็นต้องหาเงิน เธอจึงเลือกมาทำธุรกิจค้ายาพลังฮีโร่ ก่อนเธอจะได้พบกับตำรวจนอกเครื่องแบบชายชื่อแฟรงค์ (Joseph Gordon-Levitt/โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ จากผลงานหนัง ‘Looper, ‘Inception’ และ ’50/50′) ที่เข้ามาช่วยเธอจากพวกอันธพาล ตัวละครหลักสามตัว อันประกอบไปด้วยอ่านต่อ

รีวิว แมด แม็กซ์: ถนนโลกันตร์ | Mad Max: Fury Road

Mad Max เป็นหนังที่สร้างมาจากวิกฤตการณ์น้ำมันปี ค.ศ.1973 ที่กระทบทั้งการเมืองและเศรษฐกิจของนานาประเทศ จนมาถึงภาคนี้ จากโลก post-apocalyptic ในไตรภาคเดิม ที่ว่าแย่แล้ว โลกของ Mad Max: Fury Road เป็นอะไรที่หนักและน่ากลัวกว่ามาก แม้ไม่ได้ระบุวันเวลาและสถานที่ชัดเจน สิ่งนึงที่หนังภาคนี้บอกคือการเซ็ตให้อยู่ในโลก post-apocalyptic wasteland ที่สงครามนิวเคลียร์ได้ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ล้มหายตายจากไปจนแทบไม่เหลือ มองไปทางไหนก็มีแต่ฝุ่นแต่ทราย ไร้สิ่งปลูกสร้างที่คุ้นตา แห้งแล้งแบบที่ดูแล้วต้องอยากดื่มน้ำตลอดเวลา และน้ำมันกับยานพาหนะเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งชีพ หรือเยี่ยงชีพ ภายใต้โทนภาพ colorful แม้สภาพแวดล้อมจะดูโหดร้าย การเคลื่อนกล้อง การแสดง และแอ็กชั่นที่สื่อถึงความดิบเถื่อนป่าเถื่อนออกมาได้เข้ากับคอนเซ็ปต์ของหนังเป็นอย่างดี Mad Max: Fury Road ไม่ใช่แค่หนังดูเอามัน แต่ทำให้เราได้ฉุกคิดถึงอะไรหลายๆ อย่าง เช่นผลกระทบจากการทำสงครามแก่งแย่งชิงดีจนนำมาสู่จุดจบมนุษยชาติ โลกที่เราใช้ทรัพยากรจนหมดไม่เหลือ โลกที่ร้อนระอุเพราะชั้นบรรยากาศพังทลาย โลกที่ไม่มีต้นไม้อีกแล้ว โลกที่ไม่น่าอยู่อีกต่อไป รวมไปถึงโลกไร้อารยธรรมที่ผู้ปกครองด้วยกำลังและความกลัวได้ดี ทำให้เมื่อมองกลับมาดูโลกของเราตอนนี้แล้ว แม้จะน่าอยู่น้อยลงเรื่อยๆ ก็จริง แต่อดไม่ได้ที่จะเอามันมากอด ทะนุถนอมอ่านต่อ

เรื่องย่อ: หนัง Mortal Engines หรือชื่อไทยว่า สมรภูมิล่าเมือง จักรกลมรณะ หลายพันปีหลังจากที่อารยธรรมถูกทำลายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกลียุค มนุษย์ได้ปรับตัวและได้พัฒนาวิถีชีวิตใหม่ขึ้น ขณะนี้ เมืองเคลื่อนที่ขนาดใหญ่กำลังตระเวณท่องโลกและไล่ล่าเมืองที่เล็กกว่า ทอม นัทส์เวิร์ธธี (โรเบิร์ต ชีแฮน) ชายหนุ่มซึ่งมาจากระดับล่างของเมืองเคลื่อนที่ของลอนดอน เขาพบว่าตัวเองกำลังต่อสู้เพื่ออยู่รอด หลังจากที่ได้เผชิญกับผู้ลี้ภัยสุดอันตราย เฮสเตอร์ ชอว์ (เฮรา ฮิลมาร์) รีวิวหลังดูหลังจบ: ทั้งสองคนอยู่ต่างขั้วกัน มากันคนละเส้นทาง แต่กลายมาเป็นพันธมิตรกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ และมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนอนาคต Mortal Engines กำกับโดย คริสเตียน ริเวอร์ส ซึ่งเคยได้รับรางวัลออสการ์สาขาเทคนิคภาพยอดเยี่ยมจากKing Kong โดยร่วมงานกับผู้สร้างรางวัลออสการ์อย่าง ปีเตอร์ แจ็คสัน, ฟราน วอลช์ และ ฟิลิปปา โบเยน ซึ่งร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ภาพยนตร์ดัดแปลงจากหนังสือซีรีย์ดังของฟิลิป รีฟ ในปี 2001 นับตั้งแต่ The Lordอ่านต่อ